การแถลงข่าวของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้ออกมาเตือนสังคมว่า “อย่าหากินกับผู้ป่วย” โดยยกกรณีวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงประวัติศาสตร์ของการรับรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์ในสังคมไทย
ไม่เพียงเป็นถ้อยคำสะท้อนความกังวลต่อการใช้ผู้ติดเชื้อเป็นเครื่องมือเรียกความสงสาร หากยังเป็นการพลิกกรอบความเข้าใจที่สังคมมีต่อโรคนี้มาตลอดกว่า 30 ปี
นับตั้งแต่ช่วงปี 2530–2540 วัดพระบาทน้ำพุ ถือเป็นสถานที่ที่สะท้อนภาพความโหดร้ายของโรคเอดส์ในสังคมไทยได้ชัดเจนที่สุด พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ “หลวงพ่ออลงกต” เจ้าอาวาสวัดในเวลานั้น ได้อุปการะผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยที่ถูกทอดทิ้งจากครอบครัวและสังคม ด้วยการให้ที่พักพิงและการดูแลในวาระสุดท้าย โดยมีภาพผู้ป่วยที่ผอมโซและใกล้เสียชีวิตถูกเผยแพร่ซ้ำ ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาและน่าสงสาร การบริจาคและการกุศลจึงถูกมองว่าเป็นความหวังเดียวที่จะประคองชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไร้ทางเลือก
จาก “สงเคราะห์ -การกุศล” สู่สิทธิการรักษา
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นโยบายด้านสาธารณสุขของไทย โดยเฉพาะ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่เริ่มในปี 2545 ได้ขยายสิทธิประโยชน์ให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถเข้าถึงการรักษาและยาต้านไวรัสได้ฟรี ไม่ต้องพึ่งการกุศลเหมือนเดิม
ยาต้านไวรัสทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรง และใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป มากกว่าข้อเท็จจริงด้านสาธารณสุข คือการส่งสัญญาณให้สังคมไทยรื้อถอนมายาคติว่า “ผู้ป่วยเอดส์ต้องได้รับการสงเคราะห์” ไปสู่การยอมรับว่าพวกเขาคือ “ผู้มีสิทธิในการรักษาและการมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อย่างเท่าเทียม
ในปี 2547 ประเทศไทยเริ่มให้ยาต้านไวรัสอย่างกว้างขวาง และต่อมาพัฒนาสูตรยาที่มีประสิทธิภาพดีกว่าและราคาถูกลงมาก ผ่านการผลิตขององค์การเภสัชกรรม รวมถึงการเจรจาลดราคายานำเข้า นี่ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตยืนยาวเกือบเท่าคนทั่วไป และหากกินยาสม่ำเสมอจนไวรัสตรวจไม่เจอ (Undetectable) ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่นได้
ย้ำว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากเดิมที่ผู้ติดเชื้อต้องรอความตายที่วัดพระบาทน้ำพุ กลายเป็นผู้ที่สามารถกลับไปทำงาน สร้างครอบครัว และมีคุณภาพชีวิตได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป
ไม่มี “ผู้ป่วยเอดส์”ระยะสุดท้าย
ผลของการเข้าถึงยาต้านไวรัสคือการลดจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างมหาศาล สถิติจากกรมควบคุมโรค ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเอดส์ลดลงจากปีละกว่าหมื่นรายในช่วงทศวรรษ 2530–2540 เหลือเพียงไม่กี่พันรายต่อปีในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ
องค์การอนามัยโลก (WHO) และ UNAIDS ยกย่องประเทศไทยว่าเป็นประเทศตัวอย่างที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก ซึ่งไทยประสบความสำเร็จจนได้รับการประกาศให้เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ “กำจัดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก” ได้สำเร็จ
พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย บอกว่า “คำว่าเอดส์ระยะสุดท้ายควรถูกลบออกไปจากพจนานุกรมแล้ว” เพราะด้วยประสิทธิภาพของยาต้านไวรัส ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพปกติได้
ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยประมาณ 5.5 แสนคน ในจำนวนนี้กว่า 4 แสนคนรับยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ จนปริมาณไวรัสอยู่ในระดับ “ตรวจไม่พบ” หรือ Undetectable ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ (U=U: Undetectable = Untransmittable)
นอกจากนี้ยังมียา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ที่ป้องกันไม่ให้ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อ แต่ปัญหาคือมีเพียงไม่ถึง 20% ของกลุ่มเสี่ยงที่เข้าถึงยา ทำให้ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 8,000 คนต่อปี
“ภาพจำ -การตีตรา”ใช้ผู้ติดเชื้อเป็นเครื่องมือ
แม้นโยบายและการแพทย์จะเปลี่ยนไป แต่ สังคมไทยจำนวนไม่น้อยยังคงมีภาพจำแบบเก่า ผู้ติดเชื้อยังถูกมองด้วยความกลัวหรือความสงสารมากเกินไป โรงเรียนบางแห่งยังปฏิเสธเด็กที่พ่อแม่ติดเชื้อ บริษัทบางแห่งยังเลือกไม่รับผู้สมัครงานที่มีประวัติเชื้อเอชไอวี
และที่สำคัญคือ การที่วัดพระบาทน้ำพุ ยังคงใช้ “ภาพความทุกข์ทรมาน” ของผู้ติดเชื้อเพื่อการเรียกรับบริจาค เช่น การนำภาพคนผอมโซใกล้ตายมาเผยแพร่ ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตปกติได้
อาจเรียกได้ว่านั้นคือการหากินกับผู้ป่วย เพราะไม่เพียงบิดเบือนความจริง แต่ยังตอกย้ำภาพลบของผู้ติดเชื้อ และทำให้สังคมเชื่อผิด ๆ ว่าพวกเขายังต้องพึ่งพาการสงเคราะห์ ทั้งที่พวกเขามีสิทธิการรักษาและสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
หลายเสียงในงานแถลงข่าวครั้งนั้น สะท้อนประเด็นร่วมกันว่า นอกไปจากกรณีวัดพระบาทน้ำ อุปสรรคใหญ่ของโรคเอดส์ ไม่ใช่เรื่องยา แต่คือเรื่องการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
- นางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ บอกว่า แม้เธอกินยาต้านไวรัสมากว่า 20 ปีและมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่สังคมยังมองผู้ติดเชื้อเป็น “คนน่ากลัว” กฎเกณฑ์ในอาชีพบางประเภท เช่น ทหาร ตำรวจ ยังคงห้ามผู้ติดเชื้อเข้าทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้มีความเสี่ยงไม่กล้าไปตรวจเลือด หรือผู้ติดเชื้อบางคนไม่กล้าเข้าสู่ระบบรักษา
- ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค เน้นว่า การตรวจเลือดควรเป็นเรื่องปกติของทุกคน เพราะเพียงครั้งเดียวของเพศสัมพันธ์ก็อาจเสี่ยงติดเชื้อ แต่ปัญหาคือคนไทยจำนวนมากไม่คิดว่าตนเองมีความเสี่ยง
- นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ เตือนว่า ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่เข้าสู่การรักษากว่า 1.5 แสนคน คือช่องว่างที่ทำให้ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกปี
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ก้าวล้ำ แต่ความเข้าใจและทัศนคติของสังคมยัง “ติดหล่มในอดีต”
โจทย์เชิงนโยบายตั้งเป้าปี 73 ยุติ “เอดส์”
คณะกรรมการยุติปัญหาเอดส์แห่งชาติได้ตั้งเป้าชัดเจนว่า ภายในปี 2573 ประเทศไทยต้องลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้เหลือไม่เกิน 1,000 คนต่อปี และลดการเสียชีวิตจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 คนต่อปี
แผนนี้อาศัย 3 เสาหลักของ UNAIDS คือ
- ตรวจให้รู้เร็ว (Know Your Status) – ให้ทุกคนเข้าถึงการตรวจเลือด
- รักษาให้เร็ว (Treatment for All) – ทุกผู้ติดเชื้อได้รับยาภายใน 1 วัน
- ป้องกันให้ครอบคลุม (Prevention) – ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยและ PrEP
อย่างไรก็ดี ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดคือ การสื่อสารสังคม และ การลดการตีตรา เพราะต่อให้มีงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี หากผู้คนยังไม่กล้าเข้ารับการตรวจ เป้าหมายดังกล่าวก็ยากจะบรรลุ
ทำไม ! สังคมยังกลัว “เอดส์”
แม้ว่าโลกการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลจนทำให้ “เอดส์” ไม่ใช่คำที่พ้องกับ “ความตาย” อีกต่อไป แต่ในสังคมไทย ความกลัวและความหวาดระแวงต่อโรคนี้ยังคงดำรงอยู่
ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นผลสะสมจากหลายปัจจัยที่ทับซ้อนกัน ทั้งประวัติศาสตร์ความทรงจำของสังคม ความรู้ความเข้าใจที่ไม่เท่าทัน ตลอดจนโครงสร้างกฎระเบียบและวัฒนธรรมทางเพศที่ยังคงกดทับ
- ความทรงจำทางสังคม หลายคนยังติดภาพ “เอดส์คือความตาย” จากยุค 2530–2540 แม้ความจริงจะเปลี่ยนไปแล้ว
- การขาดความรู้ ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าบัตรทองครอบคลุมยาต้านไวรัส, การตรวจเลือด, และถุงยางฟรี
- กฎระเบียบเลือกปฏิบัติ การปิดกั้นอาชีพบางประเภทสำหรับผู้ติดเชื้อ ทำให้เกิดความกลัวว่าการตรวจพบเชื้อจะ “ทำลายอนาคต”
- วัฒนธรรมเพศสัมพันธ์แบบปิด คนจำนวนมากไม่กล้าพูดถึงเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ส่งผลให้ไม่กล้ารับการตรวจ
หากประเทศไทยต้องการเดินไปสู่เป้าหมายการ “ยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573” จึงจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์จาก “การแพทย์นำ” สู่ “สังคมนำ” ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดและการจัดการดังต่อไปนี้
- การทำให้ “การตรวจเลือด” กลายเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรู้สถานะของตนเองโดยไม่ต้องหวาดกลัว
- การแก้ไขกฎระเบียบที่เลือกปฏิบัติ เปิดโอกาสให้ผู้ติดเชื้อสามารถทำงานและดำเนินชีวิตตามปกติ โดยไม่ถูกตีตราหรือปิดกั้นเส้นทางอาชีพ
- การสื่อสารสร้างความเข้าใจอย่างเป็นระบบ โดยใช้พลังของสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย เพื่อลบภาพจำว่าเอดส์คือ “โรคตาย” และแทนที่ด้วยความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาวและมีคุณภาพ
- การขยายการเข้าถึง PrEP (ยาป้องกันการติดเชื้อก่อนสัมผัสเชื้อ) และถุงยางอนามัย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มชายรักชายซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันไม่ให้การระบาดเกิดขึ้นซ้ำ
- การเสริมบทบาทของชุมชน ด้วยการให้เครือข่ายผู้ติดเชื้อทำหน้าที่ “เพื่อนช่วยเพื่อน” คอยแนะนำและพาคนเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของการแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างสังคมที่เปิดกว้าง เข้าใจ และไม่ตีตรา หากประเทศไทยสามารถทำได้ เอดส์จะไม่ใช่โรคที่สังคมต้องกลัวอีกต่อไป แต่จะเป็นเพียงโรคหนึ่งที่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: