แม้รายได้หลักของ “ภูเก็ต” 92% จะมาจาก “การท่องเที่ยว” แต่ตราบใดที่คนในพื้นที่ยังอยู่กันอย่างยากลำบาก และสภาพแวดล้อม ยังคงไม่ได้รับการจัดการที่ดี แล้วเศรษฐกิจที่เคยเฟื่องฟูนี้จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร ?
การเปลี่ยน “ภูเก็ต” ไม่ให้เป็นแค่ “ที่พักร้อน” แต่กลายเป็น “เมืองสุขภาวะ” ที่ไม่ว่าจะคนท้องถิ่น หรือผู้มาเยือน ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระยะยาว
Policy Watch ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่สาธารณะ ถอดรหัส “เมืองภูเก็ต” ผ่านงานวิจัย ใน “Policy Forum ภูเก็ต : สุขภาวะเพื่อชีวิตแห่งอนาคต” เพื่อส่งเสริมการสร้างนโยบายท้องถิ่นด้วยข้อมูล มุ่งสู่การเป็นเมืองสุขภาวะ ที่ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
“วันนี้แม้คนภูเก็ตจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ต่างคนต่างทำภารกิจของตัวเอง ทำให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร”
เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
แนวคิด “เมืองแห่งความสุข” ที่ริเริ่มโดยเครือข่ายในพื้นที่ภาคใต้ ที่อยากให้ทุกคนในภูมิภาคนี้มีชีวิตที่ดี โดยตั้งใจจะพัฒนาความมั่นคงใน 4 ด้าน ได้แก่ อาหาร สุขภาพ มนุษย์ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ “เมืองสุขภาวะ” คือกลไกด้านมนุษย์ที่สำคัญ ที่จะทำให้ภูเก็ตบรรลุเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามความท้าทายในวันนี้คือ การที่หน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ ยังคงดำเนินงานแบบแยกส่วน ทำให้การผลักดัน “เมืองสุขภาวะ” ในเกาะแห่งนี้ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นการระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อหาแนวทางในการบูรณาการความร่วมมือ และผลักดันข้อเสนอไปสู่นโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
“เป้าหมายของเราในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะขับเคลื่อน ‘ภูเก็ต’ ให้เป็น ‘เมืองสุขภาวะ’ ไม่ใช่แค่ที่ที่คนมาเที่ยวแล้วกลับไป แต่เป็นเมืองที่ใคร ๆ ก็อยากมาอยู่ เพราะมีสุขภาพที่ดีที่สุด และชีวิตมีความสุขในทุก ๆ ด้าน”
เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ตลาดนักท่องเที่ยวเปลี่ยน อาจกระทบเศรษฐกิจของภูเก็ตในระยะยาว
หนึ่งในความไม่แน่นอนที่อาจทำให้การเป็น “เมืองสุขภาวะ” ของภูเก็ตสั่นคลอน คือตลาดนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็น “คนจีน” แต่หลังจากโควิด-19 ระบาด ก็เปลี่ยนแปลงไป มีคนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัสเซีย และอินเดียเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้สะท้อนให้เห็นแค่ ‘การเติบโตของนักท่องที่ยว’ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และศาสนา ยังนำมาซึ่งบริบทใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การชมความงดงามของ ทะเล (Sea) ทราย (Sand) และแสงแดด (Sun) อีกต่อไป ภูมิทัศน์ของการท่องเที่ยวแบบใหม่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพหุวัฒนธรรม (Wellness Destination)”
รศ.กุลดา เพ็ชรวรุณ อาจารย์คณะบริการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ตลาดนักท่องเที่ยวที่แปรผัน อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และเศรษฐกิจของภูเก็ตในระยะยาว หากจังหวัดไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ได้ทันท่วงที
การเข้าใจในบริบท พิธีกรรม ข้อควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติของผู้คนที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือนักท่องเที่ยวก็ตาม เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน เป็นที่มา ที่ควรยกระดับให้ภูเก็ต กลายเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพหุวัฒนธรรม”
จากผลการสำรวจของอาจารย์คณะบริการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตภูเก็ต พบว่า ตลาด “Global Wellness” ทั่วโลก ในปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2572 จะมีมูลค่าถึง 8.99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7.3%
อีกทั้งจากการสัมภาษณ์และตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่างกว่า 400 คน ย้ำชัดว่า ภูเก็ตมี “ต้นทุน” ที่ดี ทั้งธรรมชาติ โรงพยาบาลและสนามบินนานาชาติ และประสบการณ์จัดงานระดับโลก อย่างการประชุมสิ่งแวดล้อมโลก และ Global Wellness Summit รวมถึงยังมี “คน” คือภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง
สิ่งเหล่านี้พร้อมที่จะผลักดันให้ภูเก็ตเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพหุวัฒนธรรม” และแนวทางสำคัญที่จะพา “ภูเก็ต” ให้ไปถึงเป้าหมาย มีดังต่อไปนี้
- พัฒนาเพิ่มพูนทักษะคนในพื้นที่ให้ทันต่อห่วงโซ่อุปทาน เช่น นักกำหนดอาหาร หรือ นักจิตวิทยา เพื่อส่งเสริมให้ภูเก็ตกลายเป็นเมืองสุขภาวะ
- เปิดหลักสูตรด้าน “Wellness Tourism” ในมหาวิทยาลัย
- ขยายโอกาสเข้าถึงกิจกรรมที่สร้างเสริมสุขภาวะ (Wellness) เช่น เพิ่มสวนสุขภาพชุมชน หรือ มีหน่วยบริการเคลื่อนที่นำบริการด้านสุขภาพและสุขภาวะไปยังชุมชน
- ปรับปรุงกฎหมาย การอนุญาต และ การรับรอง ใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน เช่น พนักงานธุรกิจสปา อาจต้องมีใบรับรองการทำ CPR หรือการปฐมพยาบาลเป็น
- สร้างฐานข้อมูลของนักท่องเที่ยว เพื่อนำมาวิเคราะห์เทรนด์ หรือใช้ในการวางแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพหุวัฒนธรรมต่อไป
- ส่งเสริมการดูแลสุขภาพ สุขภาวะในครัวเรือน
- ตั้งคณะกรรการดูแลด้าน “Wellness Tourism” ระดับจังหวัด
- มีกองทุนสนับสนุน “Wellness Tourism” ระดับจังหวัด
- สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้าน “Wellness Tourism”

รศ.กุลดา เพ็ชรวรุณ อาจารย์คณะบริการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ฝันของภูเก็ตจะเป็นจริง ? ถ้าต่างชาติยังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากถึง 50%
“ภูเก็ต” หวังจะเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นจริงได้อย่างไร หากต้องเผชิญความเสี่ยงถึงชีวิต?
โดย นพ.วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย อาจารย์สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยข้อมูลการจราจรของจังหวัด ผ่านการบูรณาการจากหลายภาคส่วน จนได้เป็นฐานข้อมูลกลางชื่อว่า “Safer Road” พบว่า อุบัติเหตุของภูเก็ตมักเกิดขึ้นที่ทางหลวงสายหลัก ในเขตเมืองและแหล่งท่องเที่ยว (ป่าตอง, กะรน, ราไวย์), ทางเข้าทางออกหมู่บ้าน และทางโค้ง
“น่าห่วงว่า ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติและคนต่างถิ่นมากถึง 50% เมื่อเจาะลึกไปถึงยานพาหนะ จะเห็นว่า ‘รถเช่า’ มีสัดส่วนสูง และอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นในเส้นทางที่มีสถานบันเทิงหนาแน่น โดยเฉพาะหลังช่วงค่ำ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวออกมาสังสรรค์ เนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่องที่สถานบันเทิงสามารถเปิดได้ถึงตี 4”
นพ.วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย อาจารย์สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปัจจัยสำคัญที่ถูกชี้ให้เห็นคือ “ข้อจำกัดของระบบขนส่งสาธารณะ” เนื่องจากรถโดยสารประจำทางในภูเก็ตให้บริการถึงแค่เวลา 20.00 น. เท่านั้น ทำให้หลังจากการดื่มสังสรรค์ นักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการเดินทางกลับที่พักไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง ซึ่งนำไปสู่ปัญหา “เมาแล้วขับ” โดยเฉพาะในเส้นทางที่ไม่มีด่านตรวจ จึงนำมาสู่ข้อเสนอ ในระยะสั้น กลาง และ ยาว ดังนี้
ระยะสั้น ทำแคมเปญร่วมกับตำรวจ “You Drink We Drive” เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยว เลือกใช้บริการอื่นแทนการขับขี่รถเช่าด้วยตัวเอง ซึ่งหลังมีมาตรการนี้ 3 สัปดาห์ พบว่า ผู้บาดเจ็บลดลงไป 13% และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บที่เป็นชาวต่างชาติ ลดลงไปถึง 37.5%
ระยะกลาง คือ การพัฒนาทางเลือกบริการสำหรับเรียกคนขับรถยนต์รับจ้างมาขับรถส่วนตัว อย่างแอปพลิเคชัน GRAB และ BOLT ให้มีบริการขับรถผู้โดยสารไปส่งที่บ้าน ได้เหมือนในหลาย ๆ ประเทศ
และ ในระยะยาว ควรขยายเวลาและเส้นทางรถโดยสารประจำทางช่วงกลางคืน ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีการเกิดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับสูง และในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงบูรณาการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ภาพจากกล้อง CCTV ที่จะช่วยย้อนดูจุดเริ่มต้นของอุบัติเหตุ ซึ่งจะนำไปสู่การขอความร่วมมือจากร้านค้าให้ช่วยดูแลลูกค้าก่อนที่จะขับขี่ออกไป หรือการวิเคราะห์ลักษณะของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง หากพบว่าเป็นรถบิ๊กไบค์เป็นส่วนใหญ่ ก็อาจนำไปสู่การขอความร่วมมือไม่ให้จัดโปรโมชันที่อาจกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงได้

นพ.วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย อาจารย์สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มีคน มีทุน มีข้อมูล แต่ขาดการ “เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน”
ความพยายามของเครือข่าย ในการขับเคลื่อน “เมืองสุขภาวะ” นั้นไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น ย้อนกลับไปในปี 2564 ได้มีการฉายภาพให้เห็นถึงความกระจัดกระจายของการทำงาน แม้จะมีหลายหน่วยงานที่ดำเนินงานในทิศทางเดียวกัน แต่ต่างคนต่างทำ จึงนำมาสู่การระดมความคิดเห็นเพื่อพัฒนากลไกการทำงานร่วมกันในปีถัดมา
ในปี 2565 จึงได้จัดตั้ง “คณะทำงาน” โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นประธาน และสร้าง “กองทุนเสมือนจริง” เป็นข้อตกลงร่วมกันว่า ทุกหน่วยงานสามารถพูดคุยและขอร่วมทุนในการทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาวะได้ โดยที่แต่ละหน่วยงานยังคงถือเงินของตัวเองได้ตามเดิม และไม่จำเป็นต้องเอาเงินมาวางไว้ในส่วนกลาง
ความคืบหน้ายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 ได้มีการอบรมให้เครือข่ายต่างๆ สามารถเขียนโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด จนเกิดกว่า 20 โครงการที่มุ่งเน้นการดูแลผู้สูงอายุ เด็ก และเยาวชน และในปี 2568 เกิดโครงการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้ลดการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับว่าเป็นการขยายฐานเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาวะมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เราเห็น ‘คน’ เห็น ‘ทุน’ เห็น ‘ข้อมูล’ แต่สิ่งที่ยังไม่เห็น คือ ‘การเชื่อมร้อยเข้าด้วยกัน’ อยากให้มีกลไกกลางและฐานข้อมูลที่ทุกคนเข้าถึงได้ นี่จะช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความหนุนเสริม และเป็น ‘เข็มทิศ’ ให้ทุกภาคส่วนเดินหน้าไปในทางเดียวกัน”
จตุรงค์ คงแก้ว รองคณบดีคณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ภาพอนาคตของ “ภูเก็ต” ที่รอทุกภาคส่วนมาเติมเต็ม
“รายได้หลักของภูเก็ต 92% มาจาก ‘การท่องเที่ยว’ เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวเชื่อมโยงทุกอย่าง แต่ความยั่งยืนจะเกิดได้จริง ถ้าผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่น คนนอกพื้นที่ หรือนักท่องเที่ยว มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะหากคนในจังหวัดสุขภาพกายใจแข็งแรง ก็จะพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว และผู้มาเยือนก็จะสัมผัสได้ถึงความสุข ไม่ว่าใครก็อยากมาอยู่อาศัย”
สมาวิษฎ์ สุพรรณไพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต
เกือบ 5 ปีของการขับเคลื่อนเมือง “สุขภาวะ” ใน “ภูเก็ต” เริ่มปรากฏให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการเด่น ๆ ของ เรวัติ อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมัยที่ 2 เช่น “3 อ. – อารมณ์ อาหาร และ ออกกำลังกาย” และ การสร้างสวนสาธารณะใน 3 อำเภอ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีมากจากประชาชน
และ นายก อบจ.ภูเก็ต ยังแสดงวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการปรับปรุงพื้นที่สาธารณะในระดับชุมชน ไปจนถึงการนำร่องสร้าง “ศูนย์ไตเทียม” ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลศรีสุนทร พร้อมแผนขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ
นอกจากนี้ยังได้ ถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มาอยู่ในความดูแล 21 แห่ง เตรียมพร้อมเข้าถึงและดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างใกล้ชิด
“รพ.สต. จะเป็นกลไลท้องถิ่นสำคัญที่เชื่อมโยงข้อมูลว่าชาวบ้านเดือดร้อนอะไรในทุกหย่อมหญ้า เพราะท้องถิ่นต่างคนต่างมีข้อมูล แต่ไม่มีคนกลางที่จะเข้ามาจัดการหรือเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่ควรจะมีข้อมูลเข้ามาตรงกลางก่อน แล้วจ่ายไปที่จุดต่าง ๆ ยกตัวอย่างการสร้างถนน บางช่วงของ อบต. บางช่วงของเทศบาล เขาทำได้แค่ไหน เขาก็หยุด แต่ อบจ.นี่แหละที่จะเข้าไปต่อให้เต็ม ให้ครบ”
นพ.บัญชา ค้าของ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
สุดท้ายนี้ภูเก็ตจะกลายอนาคตอของชีวิตได้ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการสาธารณสุข อบจ.ภูเก็ต กล่าวเสริมถึงแผนงานสำคัญของ อบจ. ด้วยว่า หนึ่ง จะต้องลดความแออัดของการจราจรและอุบัติเหตุ โดยจะผลักดันระบบขนส่งรถสาธารณะไฟฟ้า ที่ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ พร้อมขยายเวลาเดินรถให้ครอบคลุมกลุ่มดื่มแล้วขับ
และ สอง ต้องเตรียมพร้อมจิตแพทย์เด็ก เพื่อแก้ปัญหาพัฒนาการเด็กในพื้นที่ ที่พบว่ามีมากถึง 30% ขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 10% และอาจสร้างระบบเชื่อมกับ รพ.สต. ให้จิตแพทย์ช่วยดูแลเด็ก รวมถึง สร้างศูนย์เด็กอ่อนอัจฉริยะ โดยรัฐจะรับหน้าที่เลี้ยงเด็กให้พ่อแม่ ให้ทุกครัวเรือนได้รับการดูแลและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ส่วนการจะขับเคลื่อนให้ภูเก็ตไปถึง “Wellness Destination for All” รังสิมันต์ กิ่งแก้ว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต บอกว่า ทุกภาคส่วนควรส่งเสริมให้ทุกฟันเฟืองสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับคนภูเก็ต เพราะคนในพื้นที่ต้องมีสุขภาพที่ดีก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่เหลือพื้นที่ให้บริการทางสุขภาพแก่คนต่างชาติ
โดยอาจเริ่มจากกลุ่ม “พนักงานโรงแรม” ก่อน เนื่องจากธุรกิจการท่องเที่ยวของภูเก็ต มีการจ้างงานมากถึง 200,000 – 300,000 คน ซึ่งเกินกว่าครึ่งทำงานด้านบริการ
“พนักงานโรงแรม อาจไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง จะทำอย่างไรจะให้พวกเขารู้ว่า เขาควรทานอาหารที่ดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าไหม ถ้าให้เขาตระหนักรู้ด้วยตัวเอง แทนการขึ้นภาษีความหวาน หรือภาษีความเค็ม ที่กำลังจะปรับขึ้นอีก”
รังสิมันต์ กิ่งแก้ว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
สอดคล้องกับ ไวทฑ อุปัติศฤงค์ ประธานบริหารภูเก็ตพัฒนาเมือง เห็นด้วยว่า “พนักงานโรงแรม” เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ ที่ควรจะดูแลอย่างดี และพวกเขายังต้องทานอาหารของโรงแรมอย่างน้อย 2 มื้อ ดังนั้นหากสามารถลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน ได้จากที่โรงอาหาร ตรงนี้จะเป็นส่วนช่วยสำคัญที่จะทำให้พวกเขามีสุขภาพดี และส่งเสริมได้ง่ายที่สุด
อย่างไรก็ตามหากองค์กรใดมีโรงอาหารของตัวเอง อาจขอคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุข มาปรับการปรุงรสของแม่ครัวได้เช่นกัน
นอกจากนี้เรื่อง “ความปลอดภัยทางถนน” ภูเก็ตพัฒนาเมืองได้พยายามนำรถสาธารณะมาใช้ เพื่อลดปริมาณรถบนท้องถนน ปัจจุบันมีอยู่ 24 คัน 3 สาย ให้บริการผู้โดยสารไปแล้วกว่า 430,000 คน
ขณะนี้เพิ่งยื่นเป็นผู้ให้บริการรถกับ อบจ. ด้วย ซึ่งในอนาคตจะมีรถให้บริการเพิ่มเป็น 48 คัน 6 สาย โดยรถนำร่องขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนี้ จะให้บริการในราคา 15 บาท และ 5 กลุ่มเปราะบาง สามารถขึ้นได้ฟรี
“รถขนส่งสาธารณะ นอกจากลดอุบัติเหตุ ยังลดความเครียดจากการขับรถ และลดค่าใช้จ่าย เพราะ 15 บาท ทุกคนสามารถเข้าถึงได้แน่นอน หากราคา 50 บาท หรือ 100 บาท นั่นหมายความว่าบางคนอาจต้องทำงานครึ่งวันเพื่อขึ้นรถ
ส่วนผู้ปกครองก็อาจไม่รีบตื่นเช้าเพื่อขับรถไปส่งลูกให้ทันก่อนเข้างาน หรือบางคนก็อาจไม่ต้องเสี่ยงอุบัติเหตุอีก เพราะกลัวไม่ทัน จึงเลือกขับจักรยานยนต์ไปส่งลูก”
ไวทฑ อุปัติศฤงค์ ประธานบริหารภูเก็ตพัฒนาเมือง
ขณะเดียวกันมีงานวิจัยออกมาด้วยว่า เด็กที่เดินทาง 1-2 กิโลเมตร เพื่อไปขึ้นรถสาธารณะ เขาจะรู้จักคน รู้จักร้านอาหาร ตลอด 2 ข้างทาง ชุมชนก็จะเข้มแข็ง แต่กลับกันหากจับเด็กใส่รถ ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เขาก็จะเห็นแต่ศัตรูบนถนน
“ทำไมระบบขนส่งสาธารณะถึงสำคัญ ? ถ้าดูสถิติใน 1 ปี ภูเก็ตมีการฆาตกรรมไม่เกิน 2 ราย แต่กลับมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงถึง 168 ราย และน่าเศร้าที่กว่า 30 รายนั้นเป็นนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์เช่า ซึ่งส่วนมากมักมีพฤติกรรมเมาแล้วขับ แต่โทษปรับยังน้อย ทำให้ชาวต่างชาติบางคน ยินดีจ่าย และกระทำผิดซ้ำ”
พ.ต.อ.ภาสกร สนธิกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต
นี่สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีกฎหมาย แต่การบังคับใช้จริงจังยังมีอุปสรรค ตำรวจจึงร่วมกับ นพ.วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย พัฒนา “Safer App” ด้วยการเข้าข้อมูล แล้วนำมาสิ่งเหล่านั้นวิเคราะห์ ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุในภูเก็ต ซึ่งพบว่าเป็นเหมือน “เลข 7” คือเริ่มต้นจากป่าตอง ผ่านกะทู้ เข้าอำเภอเมือง และไปสิ้นสุดที่ท่าฉลอง โดยป่าตองเป็นพื้นที่ที่มีสถิติอุบัติเหตุสูงสุด
จนนำมาสู่การ สร้างยูเทิร์นหัวโตบนถนน 402 และ มาตรการ “You Drink We Drive” ที่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเรียกใช้บริการรถยนต์รับจ้าง แทนการขับขี่ด้วยตัวเอง ซึ่งหลังจากดำเนินการได้เพียง 3 สัปดาห์ พบจำนวนผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุลดลงถึง 13% และที่สำคัญคือไม่มีผู้เสียชีวิตเลย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เป็นชาวต่างชาติ ตัวเลขลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 37.5%
นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างถนนและมาตรการเฉพาะกิจ ตำรวจชี้ให้เห็นถึงพลังของข้อมูล และการบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจปัญหาและยกระดับความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้การดีไซน์เมืองใหม่ ให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่เป็นมิตรสำหรับทุกคนจึงสำคัญ แต่ทำคนเดียว อาจไม่สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องอาศัย “ไตรพลัง” ซึ่ง จิรวัฒน์ บุญรักษ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต บอกว่า อาจให้เอกชนที่มีไอเดีย แต่ขาดเงินทุน ขึ้นเป็นผู้นำ ส่วนรัฐทำหน้าที่ซัพพอร์ต เพราะมีทั้งเงินทุน หน่วยงาน และเครื่องมือที่ครบครัน และให้นักวิชาการ ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชน คอยเป็นกำลังเสริม ที่จะบอกว่าทิศทางต่อจากนี้ ควรเป็นไปอย่างให้เพื่อให้ตอบโจทย์และพัฒนาได้อย่างถูกจุด
มีข้อมูล แต่ใช้ได้ไม่ดีพอ เมืองก็จะถูกพัฒนาตามกระแส
ข้อมูลเป็นเหมือน “เข็มทิศ” นำทาง ที่จะบอกว่า เมืองควรพัฒนาไปในทิศทางใด เพียงแต่ปัญหาใหญ่ของภูเก็ตตอนนี้คือ “มีข้อมูล แต่ใช้ได้ไม่ดีพอ”
โดย ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ บอกว่า วันนี้เรายังทำงานกันเป็นไซโล ไม่พูดคุยกัน และแยกส่วนกันอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่าง สถิติผู้ป่วยโรค NCDs อบจ.อาจมีข้อมูลแบบหนึ่ง ขณะที่ อบต. และ เทศบาล เป็นอีกแบบหนึ่ง เมื่อจะตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะลดจำนวนผู้ป่วยให้เหลือเท่าไร แต่เมื่อตัวเลขต่าง ปัจจัยเสี่ยงที่เห็นต่าง การวางแผนก็อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
หรือ ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน ถ้ามีการรวบรวบจุดเสี่ยง ให้เห็นบนฐานข้อมูลเดียวกัน จะทำให้เห็นภาพชัดว่า ยานพาหนะใดที่เสี่ยงมากสุด แล้วนำไปออกแบบมาตรการความปลอดภัยแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แบบ “เหวี่ยงแห” อีกต่อไป เช่น หากผู้ขับรถบิ๊กไบค์เป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุด อาจขอความร่วมมือกับผู้จำหน่ายลดแรงจูงใจในการซื้อขาย
“เมื่อยังใช้ข้อมูลได้ไม่ดีพอ การพัฒนาเมืองก็จะเป็นไปตามอารมณ์ ตามกระแส”
ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อย่างไรก็ตาม รองอธิการบดีฝ่าบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แนะนำวิธีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลว่า เรื่องนี้อาจให้ “นายก” เป็นเจ้าภาพข้อมูลเมือง รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และจัดหาเงินทุน ในฐานะที่เป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
ก้าวต่อไปของ “ภูเก็ตเมืองสุขภาวะ”
ภายหลังจากเวทีเสวนาได้จบลง นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐ ได้ร่วมกันระดมสมองเพื่อวางกรอบในการขับเคลื่อนภูเก็ตสู่เมืองสุขภาวะอย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นข้อเสนอเชิงปฏิบัติ ดังนี้
- จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโยบาย โดยรวบรวมตัวแทนจากภาคเอกชน ท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม และมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นประธาน
- จัดทำแผนการบูรณาการขับเคลื่อข้อเสนอ โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.) เป็นเจ้าภาพหลัก
- บูรณาการทรัพยากรในการขับเคลื่อนร่วมกัน โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) จะสนับสนุนระบบการพัฒนาศักยภาพ การสื่อสาร และการประเมิน เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะที่ “ภูเก็ต” เป็นเมืองท่องเที่ยวและเศรษฐกิจหลักของประเทศ พลังของทุกคนในการร่วมติดตามและผลักดันให้เกาะแห่งนี้บรรลุเป้าหมาย “เมืองสุขภาวะ” จึงเป็นสิ่งสำคัญ
“Policy Watch” ขอเป็นเครื่องมือสำคัญ ให้ทุกคนได้ตรวจสอบและส่งเสียงสะท้อน เพราะอนาคตของภูเก็ตอยู่ในมือของทุกคน ที่จะร่วมกันสร้าง