การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ถือเป็นหนึ่งในนโยบายระดับชาติที่เปลี่ยนโฉมหน้าระบบสุขภาพปฐมภูมิของไทยอย่างชัดเจนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
การปฏิรูปดังกล่าว อยู่ภายใต้หลักการ “สุขภาพเพื่อท้องถิ่น โดยท้องถิ่น เพื่อประชาชน” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การบริการสุขภาพใกล้บ้านใกล้ใจ และตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น
แม้จะมีการถ่ายโอน รพ.สต. จำนวนหลายพันแห่งไปแล้วในช่วงปี 2566–2568 แต่ปี 2569 กลับมีการถ่ายโอนเพียง 22 แห่ง เท่านั้น ซึ่งนับว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายจังหวัดแสดงความพร้อมและขับเคลื่อนเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Policy Watch สำรวจข้อมูลเชิงลึก วิเคราะห์แนวโน้ม และสะท้อนเสียงจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เพื่อหาคำตอบว่า “การถ่ายโอนดีอย่างไร” และ “เหตุใด ปี 2569 จึงถ่ายโอนน้อย?”
ภาพรวมการถ่ายโอน รพ.สต. ตลอด 4 ปี
ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมาการกระจายอำนาจด้านสุขภาพจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปี 2566–2567 ที่นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ
ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งสิ้น 9,836 แห่ง ปีงบประมาณ 2566–2569) มีการถ่ายโอน รพ.สต. และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกันแล้ว ประมาณ 4,457 แห่ง คิดเป็นราว 45.3% บุคลากรราว 31,800 คน
แต่น่าสังเกตว่าปี 2569 กลับมีจำนวน รพ.สต.ที่สมัครใจถ่ายโอน ลดฮวบเหลือเพียง 22 แห่ง นับว่าลดลงมากกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ระบบสุขภาพปฐมภูมิไม่ใช่แค่ “การรักษา”
การถ่ายโอน รพ.สต. ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนผู้มีอำนาจกำกับดูแล แต่เป็นการ “เปลี่ยนวิธีคิด” ในการพัฒนาระบบสุขภาพ การนำพลังของท้องถิ่นมาเชื่อมโยงกับวิชาการ แปรเปลี่ยนจากการรอรับนโยบายจากส่วนกลางเป็นการออกแบบแนวทางดูแลสุขภาพแบบ “เฉพาะพื้นที่” ที่สะท้อนความต้องการจริงของประชาชน
พื้นที่ต้นแบบอย่าง อบจ.สงขลา ได้พลิกแนวคิดจากการ “จัดบริการ” มาเป็นการ “สร้างสุขภาวะ” ผ่านระบบ IMED@HOME ที่ทำงานร่วมกับแผนสุขภาพรายบุคคล รองรับสังคมสูงวัยได้อย่างเป็นระบบ ขณะที่ รพ.สต.บ่อเงิน จ.ปทุมธานี จัดตั้งข้อตกลงส่งต่อผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ขึ้นกับสายบังคับบัญชาที่เคยมีข้อจำกัดในอดีต
ในอีกมุมหนึ่ง อบจ.ระยอง ซึ่งรับถ่ายโอน รพ.สต. แบบเต็มรูปแบบ 95 แห่ง ได้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมสุขภาพไม่ได้จำกัดแค่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ แต่คือกระบวนการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ การจัดตั้งคณะทำงานสุขภาพช่องปาก คณะกรรมการเวชศาสตร์ครอบครัว และการใช้ระบบข้อมูล Health Dashboard เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นว่าท้องถิ่นสามารถเป็น “ศูนย์กลาง” ของการจัดการสุขภาพได้จริง
ส่วนในพื้นที่ที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่กว่า เช่น อบจ.ปราจีนบุรี ที่ถ่ายโอน รพ.สต. มากถึง 94 แห่ง ยังสามารถออกแบบโมเดลดูแลผู้ป่วยไต ผ่านกองทุน “ส่งใจถึงไต” ด้วยการระดมทรัพยากรจากชุมชน และพัฒนากลไกสนับสนุนให้เกิด “พยาบาลประจำชุมชน” เพื่อเข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงศักยภาพเชิงระบบที่ถูกปลดล็อกจากการถ่ายโอน หากมีการออกแบบกลไกการทำงานที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่อย่างแท้จริง
แล้วอะไรทำให้การถ่ายโอนปี 2569 สะดุด?
แม้ผลลัพธ์เชิงคุณภาพจะบ่งชี้ถึงความสำเร็จในหลายพื้นที่ แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ปี 2569 คำถามสำคัญก็คือ เหตุใดการถ่ายโอนจึงชะลอลง?
คำตอบแรก ในรายงานการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 คือ การปรับเกณฑ์การประเมินความพร้อมของ อบจ. ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านงบประมาณ ระบบบุคลากร และโครงสร้างการบริหาร ความพร้อมไม่ได้วัดเพียงแค่ “เอกสารครบ” แต่หมายถึง “ทำได้จริง” ซึ่งหลาย อบจ. ยังต้องใช้เวลาในการปรับระบบให้เท่าทันความคาดหวังนี้
นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจมองข้าม คือ การถ่ายโอนทรัพยากร เช่น ที่ดิน วัสดุ ครุภัณฑ์ ยังไม่ราบรื่นในหลายพื้นที่ ทำให้หน่วยบริการที่ถ่ายโอนแล้วไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน บุคลากรจำนวนไม่น้อยยังคงลังเลต่อการถ่ายโอน ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงทางอาชีพและสวัสดิการที่ยังเปรียบเทียบกับระบบเดิมได้ไม่เต็มที่
มีความเห็นหนึ่งจาก อบจ.สงขลา ที่ระบุว่าการสื่อสารคือหัวใจสำคัญของการถ่ายโอน โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน หากไม่มีการพูดคุยที่เพียงพอ ความร่วมมือจะกลายเป็นแรงต้านในทันที นี่คือข้อสะท้อนที่ชี้ว่า การปฏิรูปไม่ได้เกิดจากนโยบาย หากแต่ต้อง “ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์”
“คน-เงิน-ของ” ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของท้องถิ่น
ในที่ประชุม ก.ก.ถ. ล่าสุด มีการหยิบยกประเด็นอุปสรรคจากหน้างานขึ้นมาแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเด็น “สามเส้า” อย่าง “เงิน-คน-ของ” ซึ่งยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การถ่ายโอนสะดุด
แม้หลาย อบจ. จะมีศักยภาพในการจัดบริการสุขภาพและได้รับความไว้วางใจจากประชาชน แต่การรับถ่ายโอน รพ.สต. มายังต้องเจอกับข้อจำกัดเรื่องงบประมาณที่ไม่ได้เพิ่มตามภาระงาน และขาดกลไกกลางช่วยประสานการจัดการทรัพย์สินและครุภัณฑ์จากเดิมที่อยู่ภายใต้ สธ. ส่งผลให้การบริหารจัดการหลังการถ่ายโอน “ค้างคา” และยังไม่สามารถขับเคลื่อนต่อได้เต็มกำลัง
เปลี่ยนจาก “เร่งถ่ายโอน” สู่ “ปรับฐาน”
เมื่อพิจารณาแนวโน้มโดยรวม การชะลอการถ่ายโอนในปี 2569 อาจไม่ใช่เพียงผลจากข้อจำกัดเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่สะท้อนถึงความพยายามในการ “ปรับฐาน” และวางโครงสร้างให้มั่นคงมากกว่าการเร่งปริมาณ
ในรายงานของคณะอนุกรรมการถ่ายโอนฯ ระบุว่า ได้ตั้งคณะทำงานถึง 7 ชุด เพื่อแก้ไขปัญหาทุกมิติของการถ่ายโอน ตั้งแต่ข้อกฎหมาย งบประมาณ ไปจนถึงระบบข้อมูลและการบริหารบุคลากร ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไปแล้วสามารถ “ยืนได้ด้วยตนเอง” ไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนสังกัดโดยไม่มีพัฒนาการ
แม้จะมี รพ.สต. เพียง 22 แห่งที่ถ่ายโอนในปี 2569 แต่ตัวเลขนี้วิเคระห์กันว่า อาจเป็นสัญญาณการพัฒนาเข้าสู่ “ระยะคุณภาพ” กำลังเริ่มต้น การมีเพียง 9 จังหวัดที่ผ่านการประเมินอาจดูน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ก็เป็นจังหวัดที่แสดงความพร้อมชัดเจนในการปรับโครงสร้างระบบบริการสาธารณสุขให้เชื่อมโยงกันในทุกระดับ
จาก “การถ่ายโอน” สู่ “การถักทอระบบสุขภาพ”
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือ เป้าหมายของการถ่ายโอนไม่ใช่เพื่อให้มี รพ.สต. ภายใต้ อบจ. มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เพื่อให้เกิดระบบบริการสุขภาพที่ตอบโจทย์ประชาชนได้ดีที่สุด
การถ่ายโอนจึงไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรือการจัดการงบประมาณเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการถักทอระบบสุขภาพปฐมภูมิที่แท้จริง ให้เชื่อมโยงกันตั้งแต่หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด ไปจนถึงระบบประเทศ
การชะลอตัวในปี 2569 อาจเป็นจังหวะพักเพื่อขยับอย่างมั่นคง การเดินหน้าทบทวนเกณฑ์ มองผลลัพธ์ มากกว่าปริมาณ คือทิศทางที่ควรสนับสนุน
ท้ายที่สุด สิ่งที่สังคมควรจับตาไม่ใช่เพียงว่า “มี รพ.สต. ถ่ายโอนอีกกี่แห่ง” แต่ควรถามว่า “ประชาชนสุขภาพดีขึ้นจริงหรือไม่?” เพราะนั่นคือปลายทางที่แท้จริงของการปฏิรูปที่เรากำลังเดินร่วมกัน
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง