การประกาศอย่างเป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุขว่า “ไม่มีโควตาแพทย์จับสลากใช้ทุนในภาคใต้ เขตสุขภาพที่ 12” ในปี 2568 กลายเป็นประเด็นที่จุดกระแสคำถามในหมู่แพทย์จบใหม่และสังคมในวงกว้าง ถึงทิศทางของนโยบายกระจายแพทย์ทั่วประเทศ รวมถึงการให้สิทธิเลือกสถานที่ทำงานของแพทย์ใช้ทุน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อกำลังคนในพื้นที่ และแรงจูงใจของบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่
คำชี้แจงของ นพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะเขตสุขภาพที่ 12 ไม่มีโควตาเพราะมีแพทย์จากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) ครบแล้ว โดยแพทย์กลุ่มนี้มีอัตราคงอยู่ในระบบสูงถึง 94-95% และมีการลาออกน้อย จึงถือเป็นพื้นที่ที่ “เพียงพอ” ต่อการให้บริการ และไม่จำเป็นต้องรับเพิ่มจากระบบจับสลากของแพทย์ทั่วไป (กลุ่ม กสพท.)
แต่อีกด้านหนึ่ง กลับมีเสียงสะท้อนจากแพทย์จบใหม่ในปีนี้ว่า “ภาคใต้ไม่มีโควตาเลยแม้แต่ที่เดียว” และบางรายที่เป็นคนใต้ ต้องจำใจเลือกไปทำงานในพื้นที่ภาคอีสานแทน เพราะไม่มีทางเลือก
CPIRD เครื่องมือกระจายแพทย์ชนบท-ลดการลาออก
โครงการ CPIRD วางบทบาทให้เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขปัญหาแพทย์ขาดแคลนในชนบท โดยรับเด็กจากภูมิลำเนามาเรียนแพทย์ และส่งกลับไปทำงานในพื้นที่นั้น
ในภาคใต้ถือว่าดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลศูนย์-ทั่วไปหลายแห่งกลายเป็นศูนย์การเรียนแพทย์ชั้นคลินิก ส่งผลให้มีแพทย์ CPIRD จำนวนมาก
ตัวเลขที่ นพ.ภูวเดช ยกมา คือ แพทย์ CPIRD คิดเป็น 70-80% ของแพทย์ในภาคใต้ และมีอัตราคงอยู่ในระบบถึง 94-95% นี่คือความสำเร็จในแง่ของ “Retention Rate” หรืออัตราการคงอยู่
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้กลับส่งผลให้แพทย์จากโครงการ กสพท. ซึ่งไม่ได้เรียนผ่าน CPIRD หมดสิทธิ์กลับภูมิลำเนา เพราะไม่มี “ช่องว่าง” ให้เลือกจับสลากไปยังพื้นที่ภาคใต้
แพทย์จบใหม่ กับโอกาสเลือก “กลับบ้าน” ที่หายไป?
การไม่มีโควตาในเขตสุขภาพที่ 12 ส่งผลให้แพทย์จบใหม่ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในภาคใต้ ไม่มีทางเลือกที่จะ “กลับบ้าน” ได้เลยในปี 2568 ทั้งที่บางรายก็หวังจะกลับไปดูแลพ่อแม่สูงวัย หรือรับภาระในครอบครัว
หนึ่งในเสียงสะท้อนจากแพทย์ใช้ทุนระบุว่า “อยากให้ค่อยๆ ลด ไม่ใช่หายไปทั้งเขต” เพราะไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาการลาออกในภาคอีสาน แต่ควรคำนึงถึงสิทธิของแพทย์ในการเลือกด้วย
การไม่มีตัวเลือกในระบบการจับสลาก กลายเป็นความรู้สึก “ถูกบีบบังคับ” ในอาชีพที่หนักหน่วงอยู่แล้วในปีแรกของการทำงาน
ปรับโควตาปี 2568 บริหาร “ตามปัญหา” หรือ “ตามระบบ”?
ในปี 2568 การเปลี่ยนแปลงโควตาการจับสลากใช้ทุนมีความชัดเจนว่ารัฐต้องการเน้นการกระจายแพทย์ไปยังภาคอีสาน
• เขตสุขภาพที่ 10 เพิ่มจาก 139 ที่ เป็น 168 ที่
• เขตสุขภาพที่ 7 เพิ่มจาก 36 ที่ เป็น 49 ที่
• เขตสุขภาพที่ 8 ลดลงจาก 169 ที่เป็น 165 ที่ ยกเว้น จ.บึงกาฬ ซึ่งมีปัญหาขาดแคลนแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่ เขตสุขภาพที่ 12 หรือ ภาคใต้ตอนล่าง ลดจาก 6 ที่ เหลือ 0 ที่ ส่วนเขตสุขภาพที่ 6 ภาคตะวันออก ลดลงถึง 60.42%
แน่นอนว่า การจัดสรรนี้เกิดจากข้อมูล “กำลังคนที่มีอยู่” เป็นหลัก และมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาลาออกซ้ำซากในพื้นที่ภาคอีสาน
แต่คำถามคือ การบริหารแบบนี้ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” และ “แรงจูงใจ” ของแพทย์ใหม่พอหรือยัง? หรือเป็นเพียงการบริหารแบบตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น?
ระบบ CPIRD อาจลดปัญหา “แพทย์ลาออกปีแรก” ได้ในพื้นที่ที่มีคนท้องถิ่นกลับมาทำงาน แต่หากการตัดสิทธิ์เลือกของแพทย์นอกโครงการ กลายเป็นแรงกดดันใหม่ ความเสี่ยงในการลาออกอาจไม่ได้ลดลงในระยะยาว
“ถ้าไม่ลาออกปีแรก ก็อาจลาออกปีสอง” แพทย์ใช้ทุนคนหนึ่งกล่าวในเชิงเตือนว่า การตัดโอกาสตั้งแต่ต้น อาจกลายเป็นแรงสะสมที่ผลักให้แพทย์ย้ายออกในที่สุด
อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า การไม่มีโควตาแม้แต่ “โรงพยาบาลเดียว” ในเขตสุขภาพหนึ่ง ๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึก “ถูกลืม” และส่งผลต่อแรงจูงใจในวิชาชีพของแพทย์ใหม่ในภาพรวม
ทว่า นพ.ภูวเดช เน้นว่า “การจัดสรรแพทย์ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน” เป็นหลัก นี่คือหลักการสำคัญของการบริหารกำลังคนในระบบสาธารณสุข
แต่ขณะเดียวกัน “การคงอยู่ในระบบ” ก็ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจ ความพึงพอใจ และคุณภาพชีวิตของแพทย์แต่ละคนด้วย
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่ากระทรวงสาธารณสุข ควรจัดสมดุลระหว่าง “เป้าหมายเชิงระบบ” กับ “สิทธิในการเลือก” อย่างไร? และจะมีทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ระบบสมัครใจ การเปิดโควตาพิเศษ หรือการเวียนผลัดเปลี่ยน เพื่อคืนโอกาสให้แพทย์บางส่วนได้กลับภูมิลำเนาในอนาคตได้หรือไม่
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
หมอลาออก: แก้อย่างไร “ผลิตเพิ่ม หรือ จูงใจให้อยู่ต่อ”