ประเทศไทยมีเกาะมากกว่า 900 แห่ง และแต่ละแห่งต่างมี “ต้นทุน” และ “ความเฉพาะตัว” ที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่มุมมองการพัฒนาเกาะ มักถูกจำกัดอยู่เพียงแต่ “การท่องเที่ยว” ทั้งที่ศักยภาพของเกาะไม่ได้มีแค่มิติเดียว
เกาะบางแห่งอาจเป็นพื้นที่เกษตรกรรมชั้นยอด เป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติอันล้ำค่า หรือเป็นอุทยานที่ควรค่าแก่การดูแลรักษา ซึ่งการพัฒนาที่มุ่งเน้นเพียงด้านเดียว อาจทำให้เราสูญเสียความสมดุลและความยั่งยืนที่แท้จริงไป
The Active – Policy Watch ไทยพีบีเอส ร่วมกับเครือข่ายเกาะยั่งยืน เปิดพื้นที่สาธารณะชวนทุกภาคส่วนมาร่วมกันค้นหา “ศักยภาพ” ที่ซ่อนอยู่ของแต่ละเกาะ และออกแบบ “ระบบ” หรือ “กลไก” ที่จะต้องใช้ เพื่อพลิกโฉมการพัฒนาของหมู่เกาะไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่าน “Policy Forum : นโยบายเกาะ by เกาะ เข็มทิศสู่ความมั่นคงทางการท่องเที่ยวเกาะไทย”
แต่ละเกาะไม่เหมือนกัน ต้องมีนโยบายของตัวเอง
ประเทศไทยมีเกาะอยู่จำนวนทั้งหมด 936 เกาะ ตั้งอยู่ใน 19 จังหวัด รวมพื้นที่ 2,686.84 ตารางกิโลเมตร กระจายตัวอยู่ในฝั่งอันดามัน 562 เกาะ และ ฝั่งอ่าวไทย 374 เกาะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การดูแลของ อุทยานแห่งชาติมากถึง 511 เกาะ รองลงมาคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 421 เกาะ และ อีก 4 เกาะ อยู่ในความดูแลของ กองทัพเรือ
ถึงแม้จะมีจำนวนเกาะมากมาย แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นเกาะขนาดเล็ก โดยมีถึง 789 เกาะที่มีพื้นที่น้อยกว่า 1 ตารางกิโลเมตร และมีเพียง 6 เกาะเท่านั้นที่มีขนาดใหญ่เกิน 100 ตารางกิโลเมตร ได้แก่ เกาะภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยพื้นที่ 514.68 ตร.กม. ตามมาด้วย เกาะสมุย (236.079 ตร.กม.), เกาะช้าง (212.404 ตร.กม.), เกาะตะรุเตา (150.84 ตร.กม.), เกาะพะงัน (122.02 ตร.กม.) และ เกาะกูด (111.89 ตร.กม.)
อย่างไรก็ตามแต่ละเกาะมีลักษณะทางภูมิศาสตร์หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 6 รูปแบบ
ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยว, พื้นที่อนุรักษ์, อุทยาน, แหล่งประมง, ชุมชน และพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นความพยายามที่จะผลักดันให้ทุกเกาะเป็น “แหล่งท่องเที่ยว” ตามกระแส อาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด
“ที่ผ่านมาทุกเกาะจะพัฒนาไปตามกระแส คือเอา ‘ท่องเที่ยว’ นำ แต่แท้จริงแล้ว แต่ละเกาะมีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะดีกว่าไหม? หากชาวเกาะได้วางแผนอนาคตของตัวเอง แล้วดึงเอาศักยภาพที่แท้จริงออกมาเป็นแกนในการพัฒนา”
ผศ.จิตศักดิ์ พุฒจร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ผศ.จิตศักดิ์ พุฒจร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร
การท่องเที่ยวอาจ “ไม่เป็นมิตร” ถ้าบริหารจัดการไม่ได้
ในอดีตเราอาจเคยมองว่า “การท่องเที่ยว” เป็นความยั่งยืน เพราะสร้างรายได้มหาศาล แต่ปัจจุบันการท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัด กำลังสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวเกาะ
เกาะภูเก็ต ต้องเผชิญกับ “ปัญหาขยะ” ส่งผลให้น้ำเน่าเสีย และ หาดมาหยา เกาะพีพี ต้องปิดเพื่อฟื้นฟูนานถึง 3 ปี กว่าธรรมชาติจะกลับคืนความสมบูรณ์ได้อีกครั้ง
“การท่องเที่ยวของเราขายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่ถูกทำลายไปแล้ว บางทีเอาคืนยาก”
นี่คือสิ่งที่ วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สะท้อนให้เห็นว่า แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยว จะทำให้น่าชื่นใจมากแค่ไหน แต่หากขาดการจัดการที่ดี ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเป็นหายนะที่ต้องใช้เวลานานนับปีในการเยียวยา
“ปัญหาขยะ” ไม่ได้มีแค่บนบกเท่านั้น แต่ยังล้นทะลักลงสู่ทะเล กลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศทางทะเล
ที่ผ่านมารัฐบาลหลายยุคไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้ และปล่อยให้ท้องถิ่นดำเนินการเอง ซึ่งส่วนใหญ่ยังขาดศักยภาพและงบประมาณ ทำให้การสร้างสมดุลของการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และสังคม เป็นเรื่องยาก
ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเก็บขยะแล้วจบ แต่ต้องมองให้ครบวงจร คือต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีขยะน้อยลงเรื่อย ๆ และเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน แม้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะซับซ้อนขึ้น แต่ก็มีเครื่องมือ เครือข่าย ที่จะเป็นกลไกสำคัญ นำความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาช่วยจัดการได้
“สิ่งที่สำคัญคือ เครือข่ายเกาะยั่งยืนทั้ง 33 เกาะในวันนี้ จะต้องเกาะเกี่ยวกัน แล้วร่วมกันระดมความคิด นำเสนอนโยบายออกไป เพราะอีก 25 ปีข้างหน้า ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ขยะพลาสติกอาจจะมากกว่าปลาทะเล”
วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย

วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
การเข้าถึงที่จำกัด – ต้นทุนชีวิตที่สูงลิ่ว ยังเป็นความท้าทายของคนบนเกาะ
เกาะทุกเกาะมีน้ำล้อมรอบ ทำให้การเข้าถึง “การเดินทาง – ระบบสาธารณสุข – การศึกษา” เป็นไปอย่างยากลำบาก และ “ต้นทุนชีวิตที่สูงลิ่ว” ต้องซื้อน้ำราคาแพง เพื่อกินดื่ม เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับชาวเกาะ
จักรกฤษณ์ สลักเพชร นายกเทศมนตรีตำบลเกาะช้างใต้ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ชาวเกาะช้างทุกวันนี้ต้องเดินทางข้ามเกาะด้วย “เรือ” แม้ว่าการ “ไม่มีสะพานข้าม” จะทำให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะพักค้างคืน แต่ก็เป็นข้อจำกัดสำหรับคนท้องถิ่น โดยเฉพาะนักเรียนและผู้ป่วยที่ต้องตื่นเช้า เพื่อไปเข้าเรียน หรือนั่งรอเพื่อข้ามฝั่งไปพบแพทย์
อีกปัญหาเรื้อรังอย่าง “น้ำประปาขาดแคลน” ในฤดูแล้ง ที่ต้องพึ่งพิงฝน หรือการซื้อน้ำราคาแพงจากเอกชน ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เช่นเดียวกับ “ปริมาณขยะ” ที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยว ทำให้ต้นทุนการจัดการมี “มูลค่า” สูงลิ่ว และส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ค่าครองชีพ” ของชาวเกาะ
แม้จะลดปริมาณขยะ จาก 1,500 ตัน เหลือ 600 ตันต่อปีได้แล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นอีกหนึ่งภาระใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันจัดการ เพราะหากลดขยะได้มากเท่าไร เงินส่วนนั้นก็จะสามารถนำไปพัฒนาเกาะได้มากขึ้นเท่านั้น
“ระหว่างนี้เราไม่ได้ต้องการเงิน อยากได้เพียง ‘สะพาน’ ให้นักเรียนได้เข้าถึงการศึกษา และผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาพยาบาล เพราะในเมื่อเกาะช้างทำเงินให้กับประเทศได้ปีละ 2 หมื่นล้านบาท สะพานเพียงหมื่นกว่าล้านบาท รัฐพอจะเสียสละให้สักครึ่งปีพอจะได้หรือไม่? และจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาทั่วโลก แต่โรงพยาบาลที่มี ยังเป็นโรงพยาบาลชุมชน จะดีกว่าไหมถ้าเอาเงิน 200 – 300 ล้านบาท มาส่งเสริมโรงพยาบาล หรือโรงเรียนที่มีอยู่ก่อนก็ได้”
จักรกฤษณ์ สลักเพชร นายกเทศมนตรีตำบลเกาะช้างใต้
อย่างไรก็ตาม ชาวเกาะช้างพร้อม “คิดบวก” เชื่อว่ายืนหยัดมาด้วยตัวเองกว่าร้อยปี การพัฒนาการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน ต้องเริ่มต้นที่ “คนในพื้นที่” มีความสุขก่อน โดยเน้นการส่งเสริมให้ชาวบ้านเป็น “เจ้าของกิจการ” เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และริเริ่มโครงการ “ผ่อดี ๆ” แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพนักท่องเที่ยว 5 ภาษา ที่ช่วยดูแลผู้ป่วยไม่ว่าจะมาจากที่ไหน พูดภาษาอะไร ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งความปลอดภัยนี้จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง

จักรกฤษณ์ สลักเพชร นายกเทศมนตรีตำบลเกาะช้างใต้
สารพัดปัญหาภูเก็ตมีครบ ชวนชาวเกาะสร้าง “ความสมดุล”
“ภูเก็ต” เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ที่สร้างรายได้มหาศาลเกือบ 5 แสนล้านต่อปี แต่ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายอย่าง เรียกได้ว่าสารพัดปัญหาที่เกาะอื่นมี “ภูเก็ตมีครบ” และยังต้องรับมือกับความท้าทายเฉพาะตัวที่ซับซ้อนยิ่งกว่าพื้นที่อื่น ๆ
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาท่องเที่ยวยั่งยืน ภูเก็ต มองว่า จากวิกฤตที่ทุกเกาะกำลังเผชิญอยู่รวมถึงตัวเอง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้าง “ความสมดุล” คือ จะต้องผสมผสาน การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ESG” เข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยขอยกตัวอย่างสิ่งที่เกาะภูเก็ตเผชิญ ทำอยู่ และทำต่อ มีอยู่ 5 เรื่องที่สำคัญคือ
- การเปิดรับนักท่องเที่ยว อาจดูเรื่อง“ความรับผิดชอบ” เป็นหลัก โดยเฉพาะเกาะที่ทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย หรือ เกาะช้าง แต่ความความรับผิดชอบนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจาก “เจ้าบ้าน”
- วางแผนขีดความสามารถในการรองรับเพื่อไม่ให้คนในพื้นที่รู้สึกเป็นทุกข์ เพราะการท่องเที่ยวจะดีได้ พวกเขาต้องมีความสุขก่อน
- การบริหารในพื้นที่เกาะภูเก็ตเจอปัญหามากมาย เราจึงอยากขอเป็นเศรษฐกิจพิเศษ หรือขอการเลือกตั้งผู้ว่าราชการเอง แม้จะเป็นเรื่องที่ดูไกลมาก แต่ถ้าเมื่อไรพื้นที่ได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเข้าใจและทำงานร่วมกับนายกเทศมนตรีหรือผู้นำท้องถิ่นคนปัจจุบันได้อย่างราบรื่น เปรียบเสมือนท่านถูกหวยเรียบร้อยแล้ว
- ค่าธรรมเนียมเหยียบเกาะภูเก็ตเคยเสนอนายกรัฐมนตรี ขอเป็นเหาฉลามกับกระทรวงการท่องเที่ยว คือคิดพ่วงค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดินสำหรับนักท่องเที่ยวที่บินตรงเข้าภูเก็ต เพิ่มอีก 150 บาท ซึ่งคาดว่าในแต่ละปีจะได้เงินในส่วนนี้จำนวน 900 ล้านบาท นำไปจัดการปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น โดยไม่จำเป็นต้องยุ่งกับงบประมาณจากส่วนกลาง
- ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนข้อมูลที่ชัดเจน สะท้อนปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ทางแก้ที่ตอบโจทย์
“หลายเกาะโชคดีที่ไหวตัวทัน รู้ว่าจะทำอะไร แต่ภูเก็ตเราเพลิดเพลินกับการทำธุรกิจ ‘ความสมดุล’ เป็นหัวใจสำคัญของการเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่อย่าเอาใครเป็นโมเดลใคร เพราะแต่ละเกาะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาท่องเที่ยวยั่งยืน ภูเก็ต

ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาท่องเที่ยวยั่งยืน ภูเก็ต
“เกาะลันตา-เกาะเต่า” โมเดลพัฒนาพื้นที่แบบพึ่งพาตนเอง
ด้วย “เกาะ” เป็น “พื้นที่ปลายสาย” ไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจหรือจังหวัด การรวมตัวกันกับหลายภาคส่วนจึงสำคัญ
ธีรพจน์ กษิรวัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา บอกว่า “เกาะลันตา” ได้รวมตัวกับหลายหน่วยงาน ทั้งสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว สถาบันการศึกษา และองค์กรชุมชน จัดทำ “ปฏิญญาลันตา” และขยายสู่เครือข่ายเกาะอันดามันใต้
แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การพัฒนาลันตาเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าที่จะเชื่อมโยงและยกระดับเกาะเพื่อนบ้านไปด้วยกัน เพราะเชื่อว่าการพัฒนาเกาะไม่ควรจำกัดอยู่แค่การท่องเที่ยวสายหลัก แต่ต้องดึงเอาศักยภาพด้านอื่น ๆ เช่น ด้านเกษตรและการประมงมาเป็นจุดยืน

ธีรพจน์ กษิรวัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา
แต่ไม่จำกัดว่าต้องหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังชุมชน ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่ง รำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า เล่าถึงประสบการณ์ของ “เกาะเต่า” ที่ชาวบ้านรวมตัวกันตั้ง “ชมรมเรารักเกาะเต่า” มากว่า 20 ปี ดูแลตั้งแต่ภูเขาจรดทะเล ทั้งการปลูกต้นไม้ ทำน้ำหมัก ไปจนถึงการดูแลปะการังและการจัดการขยะอย่างยั่งยืน
แม้ “เกาะเต่า” จะปรับตัวเข้าสู่การท่องเที่ยว ขาดความรู้ และงบประมาณไปบ้าง แต่เราไม่เคยรอภาครัฐและมองว่านี่เป็นบ้านของเรา ที่จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ การเข้าร่วมเวทีเสวนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายเกาะอื่น ๆ เมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็ช่วยให้เกาะเต่าสามารถแก้ไขปัญหาหลายอย่างได้แล้วในวันนี้
แม้ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญด้านงบประมาณ แต่ด้วยกำลังคนและภาระงานที่มาก อาจทำให้ไม่ทันการณ์ในบางครั้ง กลไกชุมชนที่พร้อมกว่า จึงกลายเป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเกาะอย่างรวดเร็วและตรงจุด

รำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า
“GSTC” เข็มทิศสู่ความยั่งยืน
อีกหลักเกณฑ์หนึ่งที่ชาวเกาะสามารถนำไปปรับใช้ ออกแบบนโยบายของตัวเองได้ ผศ.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา ชี้ว่า GSTC (Global Sustainable Tourism Council) ซึ่งก่อตั้งโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 2007 ทำหน้าที่ เป็นเหมือน “หน่วยงานควบคุมระบบ” ที่กำหนด หลักเกณฑ์การท่องเที่ยวยั่งยืน 38 ตัวชี้วัด ครอบคลุม 3 มิติหลัก ทั้งในด้าน เศรษฐกิจ ผู้คน และสิ่งแวดล้อม
โดยมีหัวใจสำคัญคือ ลดผลกระทบเชิงลบ เช่น ปัญหาขยะ น้ำเน่าเสีย ความแออัด และเพิ่มประโยชน์จากการท่องเที่ยว ด้วยการดึงศักยภาพเฉพาะตัวที่มี ไปจนถึงการฟื้นฟูวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
“‘GSTC’ ไม่ได้บังคับให้ใช้หลักเกณฑ์ของเขาโดยตรง เขาอนุญาตให้นำเกณฑ์ ไปพัฒนาของตัวเองได้ ซึ่งเมืองไทยมีเกณฑ์ที่ใช้ได้แล้ว อย่าง Green Hotel Plus แต่ปัญหาคือ เรามักยังไปไม่สุด เหมือนก้าวไปครึ่งตัว แต่ยังไม่ได้ไปเต็มที่เรื่องระบบ
หากเราใช้เกณฑ์ของเขาแล้ว ควบคู่ไปกับการขอรับรองมาตรฐาน GSTC ไปด้วย ไม่เพียงแต่ได้การการันตีระดับสากล ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามาด้วย”
ผศ.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา

ผศ.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา
ด้าน แก้วตา ม่วงเกษม ภาควิชาการท่องเที่ยวและการบริการ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “วาระที่ทุกคนต้องทำร่วมกัน” ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องถามตัวเองก่อนว่า เรามีหน้าที่อะไร และบทบาทของเราต่อความยั่งยืนควรเป็นอย่างไร
แม้เกาะไทยควรจะมีมาตรฐานของตัวเอง แต่การใช้เกณฑ์สากลนี้เป็นแนวทางก็ช่วยได้มาก วันนี้เกาะเต่ามี “ปฏิญญาเกาะเต่า” และเกาะลันตาที่มี “แผนพัฒนาของตัวเอง” ต่างสะท้อนถึงการตื่นตัวในการดูแล “บ้าน”

แก้วตา ม่วงเกษม ภาควิชาการท่องเที่ยวและการบริการ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
ข้อเสนอชาวเกาะ พลิกโฉมเกาะไทยสู่ความยั่งยืน
วงเสวนาสรุปว่า ชาวเกาะอาจต้องมองให้ครบวงจร ไม่ใช่แค่การจัดการปัญหาใดปัญหาหนึ่งแล้วจบ แต่ต้องมองไปถึงหนทางที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว โดยอาจใช้หลักคิด เครื่องมือ และข้อมูลที่มีอยู่ นำมาสร้างมาตรฐานหรือแผนพัฒนาของตัวเอง เพราะไม่มีแผนพัฒนาใดเพียงแผนเดียวที่จะเข้ากันได้กับทั้งหมด เนื่องจากแต่ละเกาะมีบริบทและความเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน โดยมี 10 ข้อเสนอสำคัญดังนี้
- ส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสาธารณสุขและการศึกษา ที่ชาวเกาะเข้าถึงได้อย่างยากลำบาก รวมถึงการส่งเสริมให้เป็น “เจ้าของกิจการ” เพื่อสร้างความเข้มแข็ง
- สร้างระบบบริการจัดการที่เข้มแข็ง ไม่ให้คนในพื้นที่ต้อง “ทุกข์”
- จัดการแหล่งท่องเที่ยว โดยต้องวางแผนร่วมกัน ทำความเข้าใจพื้นที่ และวางแผนขีดความสามารถในการรองรับ
- ดูแลสิ่งแวดล้อม
- อนุรักษ์วัฒนธรรม
- การใช้ข้อมูล เพื่อให้เห็นภาพชัด วางแผนพัฒนาได้อย่างตรงจุดและตอบโจทย์
- ถอดบทเรียน วิเคราะห์จุดอ่อน – จุดแข็ง
- ติดตาม ความคืบหน้า และสถานะความยั่งยืน
- สร้างคณะทำงานเครือข่ายชาวเกาะ เพื่อความต่อเนื่องและยั่งยืนในการพัฒนาชาวเกาะ
- ส่งเสริม “แข่งกันทำดี” อย่างเปิดเผย เพื่อบอกต่อกันว่าทำได้อย่างไร
- สร้างมาตรฐานเกาะไทย หลายประเทศที่พัฒนา จนประสบความสำเร็จ มักมี “โมเดล” มาตรฐานเป็นของตัวเอง ไว้ใช้เป็นแนวทาง แต่ประเทศไทยยังไม่มี จึงเป็นที่มาของคำถามสำคัญในทุกวันนี้ว่า เราควรจะพัฒนาไปในทิศทางใด ? แล้วการผลักดันให้ไปสู่ระดับสากล ควรทำอย่างไร ? อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเป้าหมายร่วมกัน ไม่จำเป็นว่า “วิธีการ” จะต้องเหมือนกัน สามารถแตกต่างกันตามบริบทพื้นที่ได้
- สร้างนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยต้องเริ่มจากการเป็น “เจ้าบ้าน” ที่ดี เป็นต้นแบบให้นักท่องเที่ยวทำตาม
- ค่าธรรมเนียมเหยียบเกาะ เงินในส่วนนี้สามารถนำไปจัดการปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องยุ่งกับงบประมาณจากส่วนกลาง
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาด “ความร่วมมือ” จากทุกภาคส่วน ไม่เฉพาะแค่คนในท้องถิ่น แต่ยังรวมถึง เครือข่ายเกาะยั่งยืน นักวิชาการ ภาคเอกชน และภาครัฐ เพราะ คนในพื้นที่แน่นอนว่ามีความตั้งใจที่จะทำ แต่อาจขาดงบประมาณ เครื่องมือ และสรรพกำลัง ที่ภาครัฐมี ทุกส่วนจึงล้วนจำเป็นและขาดกันไปไม่ได้ในการขับเคลื่อนเกาะไทยสู่ความยั่งยืน
หลังจากงานเสวนาจบลง พี่น้องเครือข่ายเกาะยั่งยืน ยังแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ซึ่งได้เผยถึง ความท้าทายจากปัญหาขยะและการพัฒนาที่ไม่สมดุล รวมถึงภัยคุกคามจากโครงการใหญ่ของรัฐบาล
ทว่าหัวใจสำคัญที่ปรากฏคือ “พลังชุมชน” ที่ไม่รอนโยบายจากส่วนกลาง แต่ลุกขึ้นมา “พัฒนาบ้านของตัวเอง” อย่างจริงจัง
ตัวอย่างเช่น “สาว” จากเกาะพะลวยที่เริ่มเก็บขยะเองจนคนในพื้นที่ร่วมมือ หรือ “แอ๋ว” ชาวเกาะพยามที่พยายามปกป้องวิถีชีวิตท้องถิ่น จากโครงการแลนด์บริดจ์ และอีกหลากหลายเกาะที่พยายามจัดการขยะ สร้างวิสาหกิจชุมชน และดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม
สิ่งเหล่านี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่า การพัฒนาเกาะสู่ความยั่งยืนนั้นเป็นไปได้ ด้วยการ “ส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่” เพื่อแก้ไขปัญหา และ “มีนโยบายของตัวเอง” เพื่อรักษา “บ้าน” อันเป็นที่รักให้คงอยู่ต่อไป
Info-Graphics ที่เกี่ยวข้อง :