หลัง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา และ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่เมื่อ 12 ธ.ค. 68 ทำให้การทำงานของรัฐสภาต้องหยุดลง ส่งผลให้กฎหมายสำคัญหลายฉบับที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาไม่ได้ไปต่อ
จากการรวบรวมข้อมูล iLaw ระบุว่า ปัจจุบันมีร่างกฎหมายที่ค้างอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณา 106 ฉบับ แบ่งเป็น
- ค้างในที่ประชุมร่วมรัฐสภาอย่างน้อย 18 ฉบับ
- ค้างในสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 72 ฉบับ
- ค้างในวุฒิสภาอย่างน้อย 15 ฉบับ
- ร่างพ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาเสร็จ อย่างน้อย 1 ฉบับ
4 กฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่ได่ไปต่อ
ขณะที่มีกฎหมายสำคัญ ในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม จากสภาพอากาศที่แปรปรวน โลกร้อน หรือ ปัญหามลพิษทางอากาศที่ประเทศต้องเตรียมตัวรับมือ ทั้งหมด 4 ฉบับ ที่ไม่ได้ไปต่อ ประกอบด้วย
ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (โลกร้อน)
ผลกระทบที่ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (โลกร้อน)ไม่สามารถบังคับใช้ได้ คือความพร้อมในการรับมือ ความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โลกร้อนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายมีความสำคัญมาก ที่ระบุถึง มาตรการในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ที่ พ.ร.บ. โลกร้อน เพิ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็น และลุ้นเข้ารับการพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร โดยคาดหวังว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณต้นปี 69
แต่หลังการประกาศยุบสภา กฎหมายตกไป ทำให้การจัดการปัญหา หรือ รับมือ โลกร้อน ต้องขยับออกไปหรือไม่ โดยเฉพาะเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก ที่ประเทศไทยประกาศในการประชุม COP30 ที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ว่า จะไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่
ที่ผ่านประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกไปสู่ Net Zero ในเวลาที่เร็วขึ้นจากเดิมให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2065 เป็นปี 2050
ขณะที่กำหนดเป้าหมายลดก๊าวเรือนกระจำให้ได้ 47% ภายในปี 2035 เมื่อเทียบกับปี 2019 (ลดจาก 287 เหลือ 152 MtCO2eq
การบังคับใช้ พ.ร.บ. โลกร้อน จึงมีควาสำคัญต่อการเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าว เนื่องจากใน เนื้อหาของ พ.ร.บ. นี้มีอยู่ 3 มิติสำคัญ
- มิติแรก คือการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเป้าหมายใหญ่คือการทำให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรม การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการปรับปรุงระบบขนส่ง
- มิติที่สอง คือ การปรับตัวต่อผลกระทบของโลกร้อน โดยการจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุที่รุนแรงขึ้น
- มิติที่สาม คือ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ท้องถิ่น ภาคธุรกิจ หรือภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีบทบาทในกระบวนการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน
นอกจากนี้ พรบ.โลกร้อนยังวางกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon..Pricing ที่ยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” การตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” เพื่อสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงกับมาตรการสากลอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ หลายชาติได้เดินหน้าเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว เช่น สหราชอาณาจักรที่มี Climate Change Act ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของโลก และกำหนดเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 หรือ เยอรมนี ที่ออกกฎหมาย Klimaschutzgesetz ปี 2019 กำหนดเป้าหมายลดก๊าซ 65% ภายในปี 2030 และ Net Zero ปี 2045
ขณะที่สเปน มี Climate Change and Energy Transition Law ปี 2021 ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำภายในปี 2050
ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ก็มี CO₂ Act ที่เก็บภาษีคาร์บอนและสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจมานานแล้ว และแอฟริกาใต้ ก็เพิ่งผ่าน Climate Change Act ในปี 2024 โดยเน้น “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม” เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด กลไกลดฝุ่น PM 2.5
ส่วน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งลุ้นกันมานาน จนกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุม สส.ในวาระหนึ่งแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพิ่มเติม แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ตกไปจากการยุบสภา
ขณะที่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังมีความรุนแรง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้มีขึ้นเพื่อจัดการควบคุมกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศทุกมิติ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กระทบต่อสุขภาพคนไทย
กฎหมายอากาศ สะอาด มุ่งควบคุมและลดมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ (โรงงาน, โรงไฟฟ้า) โดยตั้งองค์กรใหม่ดูแล (คณะกรรมการอากาศสะอาด) กำหนดสิทธิประชาชนในการหายใจอากาศบริสุทธิ์, มีอำนาจให้ข้อมูล, กำหนดโทษ,
นอกจากนี้จะสร้างกลไกให้ผู้ก่อมลพิษจ่ายเงินเข้ากองทุนอากาศสะอาด เพื่อใช้จัดการปัญหาและเยียวยา ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เน้นจัดการอากาศโดยเฉพาะ ตั้งเป้าให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหามลพิษทั้งมิติสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ.
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด มีโครงสร้างการจัดการปัญหามลพิษที่สำคัญ ประกอบด้วย
- คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
- คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด มี รมว.ทส. เป็นประธาน
- คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด/พื้นที่เฉพาะ มีกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการ
- เจ้าพนักงานเพื่ออากาศสะอาด: มีอำนาจสั่งให้ส่งข้อมูล, เรียกบุคคลมาให้ข้อมูล.
นอกจากนี้ ยังมีกลไกการควบคุมแหล่งกำเนิดและ บังคับให้ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ลดการปล่อย (โรงงาน, รถยนต์, ภาคเกษตร) และมีกลไกเชิงเศรษฐศาสตร์ มีกองทุนอากาศสะอาดให้ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่จ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อใช้ในการจัดการและเยียวยา ซึ่งสำคัญมากในการบังคับใช้จริง และบทกำหนดโทษ: มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
ร่างกฎหมาย PRTR เปิดเผยข้อมูลสารมลพิษ
ขณะที่กฎหมายPRTR อีกฉบับหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญมากในการจัดการ สารมลพิษ โดยเฉพาะจากโรงงานอุตสาหกรรม และที่ผ่านมามีภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการเข้าชื่อการผลักดันกฎหมายฉบับนี้
ขณะที่ล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการวาระแรก และตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ไปต่อเช่นกัน หลังจากการประกาศยุบสภา
ร่าง กฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นจากการเข้าชื่อเสนอพ.ร.บ.การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (ร่างกฎหมาย PRTR) เป็นกฎหมายที่บังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมและแหล่งกำเนิดมลพิษอื่นๆ ต้องรายงานข้อมูลการปล่อยสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (อากาศ น้ำ ดิน) และการเคลื่อนย้ายของเสีย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล
กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จะ สร้างความโปร่งใสในการเปิดเผยสารเคมีในกระบวนการผลิตอุตสาหกรรม ให้ประชาชนรับรู้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเอง
สาระสำคัญ คือ การกำหนดนิยามสารมลพิษและแหล่งกำเนิด จัดตั้งระบบฐานข้อมูลกลางที่เผยแพร่สู่สาธารณะ และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม
- การรายงานภาคบังคับ กำหนดให้ผู้ประกอบการที่เข้าข่ายต้องเก็บรวบรวมและส่งข้อมูลการปล่อยสารมลพิษ (เช่น สารก่อมะเร็ง สารพิษต่อระบบสืบพันธุ์) และการเคลื่อนย้ายของเสียไปยังหน่วยงานรัฐ
- ระบบฐานข้อมูลกลาง มีการจัดตั้งฐานข้อมูลที่รวมข้อมูลมลพิษทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย (Open Data) การเผยแพร่ข้อมูล หน่วยงานรัฐมีหน้าที่ตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์มลพิษในพื้นที่ของตน
- นอกจากนี้มีคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ กำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อกำกับดูแล และให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ และ มีบทกำหนดโทษ มีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ
ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นกฎหมายฉบับนี้เพิ่งถูกเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา โดย ศนิวาร บัวบาน สส.พรรคประชาชนและคณะเป็นผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ ให้ไทยมีกฎหมายลูกที่สอดคล้องกับอนุสัญญาแรมซาร์ โดยกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการจัดรับฟังความเห็น
มีกลไกบริหารจัดการแบบองค์รวม (คณะกรรมการระดับชาติ-จังหวัด, องค์กรชุมชน, กองทุน) เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน, จัดทำรายการพื้นที่ชุ่มน้ำ, และแก้ปัญหาการเสื่อมโทรม/บุกรุกที่เกิดขึ้นมานานกว่า 20 ปี โดยให้ความสำคัญกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการกำหนดเขตพื้นที่
สาระสำคัญในร่างกฎหมาย จะมีโครงสร้างบริหารจัดการ หรือ คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ เพื่อ กำหนดนโยบายและแผน, จัดทำรายการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ.
มีคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัด โดยจะเน้น บริหารจัดการในระดับพื้นที่องค์กรชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำท้องถิ่น: มีส่วนร่วมในการดูแลรักษากองทุนส่งเสริมอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ มีการกำหนดเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ ให้อำนาจคณะกรรมการแห่งชาติพิจารณา โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (เช่น ธรณีวิทยา, นิเวศวิทยา) เข้ามาช่วยให้รอบด้านมากขึ้น
4 กฎหมายที่ตกไป ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่หรือไม่
สำหรับคำถามว่ากฎหมายเหล่านี้จะต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ทั้งหมดหรือไม่? พบว่า กฎหมายสามารถกลับมาพิจารณาใหม่ได้ ถ้าอยู่ในการพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฏร จากข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 หมวด 6 พบว่า สามารถไปต่อได้ หากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีอำนาจในการร้องขอให้รัฐสภานำร่างกฎหมายกลับมาพิจารณาต่อตามสมัยที่แล้วภายใน 60 วัน หลังประชุมสภาครั้งแรก
แต่ส่วนใหญ่พบว่า ระยะเวลาในการตั้งรัฐบาลมักใช้เวลามากกว่า 60 วันในการประชุมสภาครั้งแรกทำให้กฎหมายที่ตกไปในรัฐบาลนี้โอกาสทีจะกลับค่อนข้างน้อย หรือ เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ขณะที่กฎหมายที่ภาคประชาชนเสนอ ในกรณีที่ ครม. ไม่ได้ร้องขอให้นำกลับมาพิจารณาต่อ ผู้ที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายสามารถยื่นหนังสือต่อประธานสภาเพื่อให้พิจารณากฎหมายต่อจากสมัยที่แล้วได้ภายใน 120 วัน
ดังนั้น การยุบสภาครั้งนี้ โอกาสที่กฎหมายที่ตกไปแล้วจะกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาหรือใม่
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


