ถือเป็นประวัติศาสตร์ก้าวสำคัญในการจัดการปัญหามลพิษของไทย หลังจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม และกรีนพีซ ประเทศไทย ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนจำนวน 11,985 รายชื่อ เสนอ ร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือ ร่างกฎหมาย PRTR เปิดข้อมูลมลพิษ และเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎร มีมติรับหลักการวาระแรก
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ มองว่า ที่ผ่านมาการไม่มีฐานข้อมูลมลพิษที่โปร่งใสทำให้ประเทศไทยแก้ปัญหามลพิษ ยกตัวอย่างมลพิษทางอากาศได้อย่าง “ตาบอดคลำช้าง” จึงมุ่งมั่นผลักดันให้มี พ.ร.บ. การรายงานและเปิดเผยสารมลพิษ (PRTR) มากว่า 20 ปี ร่วมกับกรีนพีซและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
ทั้ง 3 องค์กรร่วมกันเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวโดยมีรายชื่อประชาชนเกือบ 12,000 ชื่อให้การสนับสนุน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งพิจารณารับหลักการไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมานี้
ร่างกฎหมายฉบับประชาชนนี้มุ่งให้โรงงานอุตสาหกรรมและแหล่งกำเนิดมลพิษอื่นๆ รายงานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษเพื่อให้มีฐานข้อมูลเรื่องมลพิษของประเทศและมีการเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนเข้าถึงและใช้ข้อมูลนี้ในการเรียกร้องแก้ไขสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
เอกชนต้องเปิดเผยข้อมูลมลพิษ
สาระสำคัญของกฎหมาย คือการจัดทำระบบฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชนิดและปริมาณของสารมลพิษที่ปล่อยจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อม การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ต้องเปิดเผยเพื่อสนับสนุนการวางแผนและดำเนินการในการป้องกันและลดมลพิษ สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน กระตุ้นให้อุตสาหกรรมปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยสารมลพิษและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการกำกับดูแลของภาครัฐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามและประเมินสถานการณ์มลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น จึงกำหนดให้สถานประกอบการที่มีการใช้หรือปล่อยสารมลพิษที่กำหนด ต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณและชนิดของสารมลพิษที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเคลื่อนย้ายของเสียที่มีสารมลพิษ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมและเผยแพร่ในระบบฐานข้อมูลกลางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของสังคม
ขั้นตอนการรายงานข้อมูลมลพิษ
กฎหมายกำหนดให้ ภาคเอกชนจัดทำรายงานมลพิษขั้นตอนการจัดทำรายงานภายใต้ พ.ร.บ. PRTR ประกอบด้วยขั้นตอนหลักต่าง ๆ ดังนี้
- การเก็บรวบรวมข้อมูล : สถานประกอบการที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับการปล่อยสารมลพิษและการเคลื่อนย้ายของเสียที่มีสารมลพิษ
- การส่งรายงาน : ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจะต้องถูกส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
- การตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูล: หน่วยงานของรัฐจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงผ่านระบบฐานข้อมูลออนไลน์ เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน
ไม่รายงานข้อมูลมลพิษมีโทษปรับ
เพื่อสร้างกลไกการจัดทำบัญชีมลพิษ และระบบการรายงานข้อมูลที่โปร่งใสของประเทศไทย ร่างพ.ร.บ. PRTR จึงกำหนดให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย อากาศเสีย หรือขยะอันตราย เช่น อุตสาหกรรมเคมีและพลังงาน อุตสาหกรรมหนัก รวมถึงการขนส่งและคลังสินค้าอันตราย จะต้องรายงานข้อมูล
หากเอกชนไม่รายงานข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด จะมีบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนี้
- ไม่รายงานข้อมูลมลพิษ มีโทษปรับ 1 %ของรายได้ในปีที่กระทำผิด
- ไม่ให้ความร่วมมือเจ้าพนักงาน มีโทษปรับ 20,000 -50,000 บาท
- รายงานข้อมูลไม่ถูกต้อง เป็นเท็จ มีโทษปรับ 5 แสน – 5 ล้านบาท
กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ
สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย
- กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี และพลังงาน เช่น ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า
- กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก เช่น ซีเมนต์ เหมืองแร่
- การขนส่งและคลังสินค้าอันตราย เช่น ท่าเรือ ,คลังน้ำมัน,คลังสารเคมี
ความท้าทายการบังคับเปิดข้อมูลมลพิษ
การรายงานและการเปิดเผยข้อมูลมลพิษ จึงถือเป็นความท้าทายในการจัดการปัญหามลพิษ เพราะส่งเสริมการมีส่วนร่วม และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน โดยประชาชนและชุมชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษในพื้นที่ของตนได้ ทำให้สามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้ สนับสนุนการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายได้
ทั้งนี้ข้อมูลจาก PRTR ทำให้การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยสารมลพิษ มาชาวบ้าน ชุมชนกำกับ ตรวจสอบ จนนำไปสู่การพัฒนามาตรการควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด และทำให้ภาคอุตสาหกรรม ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร รวมไปถึงเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
การมีระบบ PRTR ช่วยให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีสากล
แต่ การบังคับใช้ระบบ PRTR มาใช้ยังคงต้องเผชิญต่อความท้าทายมากมาย เช่น ความพร้อมของสถานประกอบการ บางสถานประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง อาจขาดทรัพยากรหรือความรู้ในการเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ การสนับสนุนและการฝึกอบรมจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายเป็นไปอย่างราบรื่น
คาดพ.ร.บ. PRTR อาจบังคับใช้ปี2570
สำหรับประเทศไทย การผลักดันร่าง พ.ร.บ. PRTR ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน มีการเสนอร่างกฎหมายนี้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร โดย มื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎร มีมติเอกฉันท์ รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ. PRTR
จากนั้นวันที่ 11 กันยายน 2568) ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 39 คน ประกอบด้วย ผู้แทนภาคประชาชนจำนวน 13 คน ที่เหลือเป็นผู้แทนจากคณะรัฐมนตรีและพรรคการเมืองต่างๆ ตามสัดส่วนโดยพรรคประชาชน ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายฉบับของพรรค เป็นประธานคณะกรรมาธิการ และให้เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ในฐานะตัวแทนจากภาคประชาชนเป็นรองประธานคนที่ 1 นอกจากนั้นยังได้ตั้งรองประธานอีก 5 คนที่เป็นตัวแทนจากพรรคต่างๆ
ในส่วนของกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน ที่ประชุมเห็นชอบตามที่ประธานเสนอว่าจะพิจารณาให้เสร็จภายใน 2 เดือน เพื่อให้ทันภายในกรอบเวลาก่อนการยุบสภา
จากนั้นพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรวาะที่ 2 และ ที่ 3 และเสนอพิจารณาต่อที่ประชุมวุฒิสภา และคาดว่าสามารถบังคับใช้ได้ในปี 2570
อย่างไรก็ตาม หากพ.ร.บ. PRTR บังคับใช้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบติดตามและจัดการมลพิษในประเทศไทย การมีระบบรายงานที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐานสามารถช่วยให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น แต่ความท้าทาย คือกฎหมายนี้สามารถนำไปใช้ได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้จริงหรือไม่
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง