สืบเนื่องจากนายภูมิ วชรเจริญผลิตผล ชาวบ้านจาก ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติว่า ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ไฟป่าและหมอกควันในหลายจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะในช่วงกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งมีปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อ 1 ส.ค. 68 ในคดีหมายเลขดำที่ อส. 57/2564 คดีหมายเลขแดง ที่ อส. 28/2568 โดยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ฟ้องว่า ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่า เกิดหมอกควันหนามีปริมาณมากเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย
แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ มิได้กระทำการดังกล่าวจนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีและประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากหมอกควันดังกล่าว อันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
ศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองเชียงใหม่) พิพากษาให้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี )ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประกาศภายใน 30 วันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลชี้บอร์ด สวล.รู้ปัญหา แต่PM2.5ยังรุนแรง
อย่างไรก็ตามผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ จนนำมาสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยระบุคำวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบรายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศ ที่แสดงปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ระหว่างเดือนก.พ.-พ.ค.
และดัชนีคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และลำพูน แยกรายจังหวัด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2564 ที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) จัดส่งต่อศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองเชียงใหม่) แล้วเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดี รับทราบถึงปัญหามลพิษด้านฝุ่น PM2.5 เป็นอย่างดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”
ทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปี พ.ศ. 2563 และที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของพื้นที่ทั่วประเทศไทยรวมพื้นที่ภาคเหนือด้วย ซึ่งมีการบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน แต่ค่าฝุ่น PM2.5 ในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2564 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมยังคง อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาดังกล่าว
และการดำเนินการต่าง ๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีก็ยังไม่สามารถแสดงให้ศาลเห็นได้เป็นที่ประจักษ์ว่า ปัญหามลพิษด้านฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ลดความรุนแรงลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แต่ยังคงเกินเกณฑ์มาตรฐานในบรรยากาศโดยทั่วไป
ตามข้อ 1 ของประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 36 (พ.ศ. 2553) เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ 28 มกราคม 2553 และข้อ 2 ของประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทย ลงวันที่ 24 กันยายน 2561 ที่กำหนดให้ดัชนีคุณภาพอากาศแบ่งเป็น 5 ระดับการแจ้งเตือน
ยังพบผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคแนวโน้มรุนแรง
ประกอบกับข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน พบอัตราการป่วยของ 4 กลุ่มโรคสำคัญที่เกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดทุกชนิด โรคทางเดินหายใจทุกชนิด โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังอักเสบ ในช่วงเวลาที่เกิดฝุ่น PM2.5 มีปริมาณมาก และมีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
กรณีจึงเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เป็นท้องที่ที่มีปัญหามลพิษ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ ในอันที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะออกประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้ท้องที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษได้ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้ประกาศกำหนดให้ท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการใช้อำนาจพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และฟังได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
ศาลสั่งประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัด
ศาลได้พิจารณาหลักความได้สัดส่วนที่สมเหตุสมผลระหว่างส่วนได้เสียของการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชนในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน กับประโยชน์สาธารณะด้านภาพลักษณ์ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยวของพื้นที่ดังกล่าว จึงสมควรที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะประกาศกำหนดให้ท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ
ทั้งนี้เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี ที่มีปัญหามลพิษด้านฝุ่น PM2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
และภายหลังได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้ว หากมาตรการที่ผู้ถูกฟ้องคดีและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สามารถแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน โดยการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ให้มีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ก็ย่อมอยู่ในอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่จะพิจารณาเพิกถอนประกาศดังกล่าวได้
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ก.ทรัพย์ทำแผนฯคุมมลพิษ 4 จังหวัด
ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ยกระดับแผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตามคำสั่งศาล โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า เมื่อ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้พื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี หลังพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐานต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญและดำเนินการเชิงรุกการแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง
การทำงานลดฝุ่นPM 2.5 เน้นการบูรณาการความร่วมมือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาเสริมการทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ระหว่าง 1 ต.ค.67 – 19 มิ.ย. 68 ลดลงถึง 40.66% หรือจาก 48,918 จุด ลดลงเหลือ 29,026 จุดในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
และใช้เทคโนโลยีอากาศยาน ใบ้เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ และอากาศยานปีกตรึง 1 ลำ บินลาดตระเวน ดับไฟป่า และส่งกำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงมีการบินทิ้งน้ำดับไฟป่า 502 เที่ยวบิน มีปริมาณน้ำ 521,000 ลิตร
การจัดทำแนวกันไฟ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้จัดทำแนวกันไฟรวมระยะทางกว่า 3,200 กิโลเมตร ป้องกันการลุกลามของไฟป่า การพัฒนาศักยภาพจิตอาสา เพื่อเพิ่มศักยภาพการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า
ประสานผู้ว่าฯ 4 จังหวัดคุมเข็มกฎหมาย
นอกจากนี้ได้ เพิ่มยกระดับนโยบายและมาตรการด้านกฎหมายด้วย เช่น บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด กับผู้ฝ่าฝืนเผาป่าอย่างจริงจังและประสานผู้ว่าราชการ 4 จังหวัดประกาศเขตห้ามเผา
ยกระดับมาตรฐานควันดำ จากรถยนต์ดีเซลจากเดิมไม่เกิน 30% เป็นไม่เกิน 20% ยกระดับการสื่อสารและแจ้งเตือนสถานการณ์ล่วงหน้าผ่านระบบ Air4Thai และศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) รวมถึง Line Alert และการประสานงานกับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
นอกจากนี้บูรณาการความร่วมมือข้ามพรมแดนกับ สปป.ลาว และเมียนมา พร้อมเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (พ.ศ. 2567 – 2573) เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือ
บอร์ดสวล.ประกาศเขตคุมมลพิษ 4 จว.ใน90 วัน
ขณะที่กรมควบคุมมลพิษเตรียมแผนประกาศเขตควบคุมมลพิษ เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์สวล )โดย “ปรีญาพร สุวรรณเกษ” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า หลังศาลมีคำสั่งต้องเตรียมแผนประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัดเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อประกาศเขตควบคุมมลพิษ
โดยต้องประสานกับผู้ว่าราชการ 4 จังหวัด เพื่อสำรวจกิจกรรมที่ส่งผลต่อฝุ่นPM 2.5 ในช่วงเดือน ก.พ – พ.ค ของทุกปี เพื่อจัดทำมาตรการให้ บอร์ดสวล.ประกาศเขตควบคุมมลพิษใน 90 วัน
สำหรับการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 เพื่อกำหนดให้พื้นที่ ซึ่งเป็นเขตควบคุมมลพิษ หรือ ท้องถิ่นมีการจัดการควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการศึกษาและสรรหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่นั้นๆ และสามารถจะดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่นั้นๆได้ทันท่วงที
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: