ลมหนาวเดือนธันวาคมที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ปีนี้ไม่ได้หอบเอาความสุขมาให้เหมือนปีก่อน ๆ ปกติแล้วช่วงเวลานี้คือช่วงที่เกษตรกรควรจะยิ้มได้กับการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เหนื่อยอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งปี
แต่สำหรับชาวบ้านในตำบลโดมประดิษฐ์ “เสียงปืนและเสียงระเบิด” ทำให้พื้นที่ทำกินกลายเป็น “พื้นที่สีแดง” รัศมีการยิงจรวด BM-21 ทำให้ชาวบ้านต้องทิ้งไร่ทิ้งสวนหนีตายออกมา ทิ้งให้ผลผลิตที่ควรจะเปลี่ยนเป็นเงินเลี้ยงครอบครัว กลายเป็นของเสียที่ไม่มีมูลค่า
“ถ้ามันขุดขึ้นมาแล้วไม่ได้ขายเกิน 10 วัน มันก็เน่าครับ เสียทั้งน้ำหนัก เสียทั้งราคา” ปัน สัตโต ชาวบ้านที่เป็นทั้งเกษตรกรและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เล่า
ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เมื่อคำสั่งอพยพด่วนดังขึ้น ชาวบ้านต้องทิ้งทุกอย่าง มันสำปะหลังหลายรายขุดขึ้นมากองรอรถมารับแล้ว แต่กลับขนออกไปไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่อันตราย สำหรับชาวบ้านที่มีที่ดิน 10 ไร่ เงินแสนที่หวังไว้ว่าจะเอามาจ่ายหนี้ จ่ายค่างวดรถ และส่งลูกเรียน กำลังเน่าเปื่อยไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

นี่คือสิ่งที่ ธวัช มณีผ่อง จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เรียกว่า “ตัวขัดขวางความรวย” เพราะในขณะที่รัฐพยายามจะแก้ปัญหาความยากจน แต่พอเกิดสงคราม ทุกอย่างที่ชาวบ้านลงทุนไปก็กลายเป็นศูนย์ทันที แถมยังมีค่าใช้จ่ายตอนหนีภัยเพิ่มขึ้นมาอีกทาง
เสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ อาจน่ากลัวกว่าเสียงระเบิด
ในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่อำเภอเดชอุดม ความเงียบมักถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ ไม่ใช่โทรศัพท์จากญาติที่เป็นห่วง แต่เป็นโทรศัพท์จาก “บริษัททวงหนี้”
นารี ประพาล หนึ่งในผู้อพยพเล่าว่า รายได้จากการกรีดยางวันละพันบาทหายไปทันทีที่ต้องหนีออกมา แต่ค่างวดรถไม่ได้หายไปด้วย
“เราบอกเขาแล้วว่าเราต้องอพยพหนีภัยสงคราม แต่เขาก็บอกว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องจ่าย…” นารีเล่า
ไม่ต่างจาก สุรสิทธิ สุทะนัง พ่อลูกสี่ที่ต้องทำทุกอาชีพเพื่อประคองครอบครัว ทั้งขายก๋วยเตี๋ยวและเป็นนักร้องหมอลำ งานจ้างช่วงปีใหม่ที่เคยหวังว่าจะได้เงินก้อนถูกยกเลิกหมด แต่พนักงานทวงค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ยังโทรหาเขาทุกวัน วันละหลายรอบ จนพี่สุรสิทธิบอกว่า
“เสียงทวงหนี้มันเครียดกว่าเสียงระเบิดเสียอีก เพราะเราไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียวตอนอยู่ที่นี่”
สิ่งนี้คือช่องโหว่ใหญ่ของนโยบายรัฐ เพราะรัฐสั่งให้ชาวบ้านหนีเพื่อรักษาชีวิตได้ แต่รัฐกลับสั่งให้บริษัทหนี้หยุดทวงชั่วคราวไม่ได้ ชาวบ้านจึงเหมือนถูกบีบจากสองทาง ทางหนึ่งคือสงคราม อีกทางคือหนี้สิน

เงินเยียวยา 5,000 บาท… พอมั้ยในชีวิตจริง?
การปะทะรอบก่อน เมื่อเดือน ก.ค. 2568 รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาครอบครัวละ 5,000 บาท ซึ่งถ้ามองจากกรุงเทพฯ อาจจะดูเหมือนช่วยได้ แต่ถ้ามาดูชีวิตจริงที่น้ำยืน มันคนละเรื่องกันเลย
สีไว อินเดช และชาวบ้านอีกหลายคนบอกตรงกันว่า เงิน 5,000 บาทต่อหนึ่งเลขที่บ้านนั้นไม่แฟร์ เพราะบ้านหลังหนึ่งในชนบทอยู่กันหลายครอบครัว มีทั้งคนแก่ เด็กเล็ก และคนวัยทำงานที่ตกงานทันทีเพราะอพยพออกมา แค่ค่าข้าวแต่ละมื้อในศูนย์อพยพ ค่าผ้าอ้อมเด็ก ค่านม และของใช้จำเป็นที่รัฐแจกไม่ทั่วถึง เงิน 5,000 บาทก็หมดไปภายในไม่กี่วัน
ธวัช ชี้ให้เห็นว่าความจนของชาวบ้านซับซ้อนกว่าที่รัฐคิด
- คนรับจ้างรายวันเจ็บหนักสุด: เพราะหยุดงานคือไม่มีเงินกินทันที
- เงินเก็บหมดไปกับการหนี: ค่ารถขนของ ค่ากินระหว่างทาง ทุกอย่างคือเงินสดที่ชาวบ้านมีอยู่น้อยนิด
- หนีซ้ำซาก: บางคนอพยพมา 3-4 รอบในปีเดียว ชีวิตยังไม่ทันฟื้นตัวจากรอบที่แล้ว ก็ต้องหนีใหม่อีกแล้ว
ข้อเสนอจากใจชาวบ้าน สันติภาพที่กินได้และสัมผัสได้
หากรัฐบาลอยากจะช่วยชาวบ้านจริงๆ เสียงสะท้อนจากน้ำยืนบอกชัดเจนว่าพวกเขาต้องการนโยบายที่ “เข้าถึงปัญหา” ดังนี้
- ช่วยเหลือเป็นรายหัว ไม่ใช่รายบ้าน: เพราะแต่ละบ้านคนไม่เท่ากัน การให้เงินเยียวยาต่อคนจะช่วยให้ครอบครัวใหญ่ที่มีภาระเยอะสามารถลืมตาอปากได้จริง
- รัฐต้องเป็นตัวกลางคุยกับเจ้าหนี้: ไม่ใช่แค่พักหนี้ ธ.ก.ส. แต่ต้องรวมถึงไฟแนนซ์และบริษัทเงินกู้ต่างๆ ต้องมีกฎหมายหรือคำสั่งพิเศษให้พักชำระหนี้อัตโนมัติในพื้นที่ภัยสงคราม จนกว่าชาวบ้านจะกลับไปทำมาหากินได้ตามปกติ
- สันติภาพที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเจรจาบนกระดาษ: อาจารย์ธวัชบอกว่า การหยุดยิงทำได้ทันทีถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นความสำคัญของชีวิตชาวบ้านมากกว่าเรื่องชาตินิยมบนโลกออนไลน์ ปัญหาเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องเทคนิคที่คุยกันได้ แต่ความอดอยากของชาวบ้านคือเรื่องจริงที่รอไม่ได้
อย่าทิ้งชาวบ้านไว้ในพื้นที่สีแดงเพียงลำพัง
บทเรียนจากอดีตสอนเราว่า พื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิมักจะถูกทิ้งให้ล้าหลังและยากจนไปอีกนาน ชาวบ้านที่น้ำยืนไม่ได้ขออะไรมากไปกว่า “ชีวิตปกติ” ของเขากลับคืนมา
สำหรับชาวบ้านที่นี่ การอพยพแต่ละครั้งคือการถอยหลังลงคลอง พืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้ขายช่วงปีใหม่ต้องตายคาสวน มันสำปะหลังต้องเน่าคาดิน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขความเสียหาย แต่มันคือลมหายใจและอนาคตของครอบครัว
“อยากให้มันจบจริงๆ แบบไหนก็ได้ขอให้จบ… ให้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนชายแดนอย่างพวกเราเถอะ” คือเสียงวิงวอนก่อนปีใหม่จะมาถึง
หน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่แค่การเอาข้าวไปแจกในศูนย์อพยพ แต่คือการทำให้ชาวบ้านไม่ต้องอพยพอีกต่อไป และทำให้มั่นใจว่าเมื่อพวกเขากลับบ้านไปแล้ว จะยังมีอาชีพ มีรายได้ และไม่ต้องหวาดระแวงกับเสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ที่ดังอยู่ข้างหู
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:





