บรรยากาศบริเวณด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เงียบลงอีกครั้งหลังการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งที่ 2 ในรอบปี ร้านค้าที่เคยคึกคักด้วยเสียงผู้คนและรถบรรทุกข้ามแดน วันนี้กลายเป็นแถวอาคารปิดหน้าต่างเรียงราย เหมือนเมืองร้างที่ถูกทิ้ง
ไม่เพียงแค่แถวด่านช่องจอม แต่รวมถึงตลอดแนวชายแดนที่การค้าขาย “ชะงัก” นับตั้งแต่เหตุปะทะไทย–กัมพูชา ในปีนี้ รอบแรก 24-28 ก.ค. 68 แต่จากสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่อง จนเกิดเหตุปะทะขึ้นรอบ 2 ตั้งแต่ 7 ธ.ค. 68 และมีความรุนแรงขึ้นกว่าครั้งก่อน ทำให้ทุกอย่างต้อง “หยุด” ยกเว้นความเคลื่อนไหวทางทหาร
มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก.ค. 68 และลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีการค้าในเดือน ต.ค. ที่มีมูลค่าการค้าเพียง 9 ล้านบาท จากเดิมมูลค่าการค้าระดับเดือนละกว่า หมื่นล้านบาท
ข้อมูลการค้าชายแดนและผ่านแดน ต.ค.68

ข้อมูลการค้าชายแดนและผ่านแดน ปี 2568 (ม.ค.-ต.ค.)

“รมิดากาญจน์ แสนเกล้า “ ผู้ประกอบการค้าส่งที่ประกอบธุรกิจในพื้นที่มากว่า 10 ปี ยืนอยู่ในร้านที่เคยมีลูกค้ากัมพูชาแวะเวียนเป็นประจำ วันนี้เธอไม่ได้คำนวณกำไรอีกต่อไป แต่คำนวณว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ และจะประคองร้านให้อยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน
“ยอดขายหายไปกว่า 90% ตอนนี้เป็นการควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายค่าแรงพนักงาน 7-8 คน” เธอเล่าแบบไม่มีความหวังมากนัก แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ “ทำไปเพื่อรักษาลูกจ้าง เพราะพวกเขาก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล”
วิกฤตที่เกิดขึ้นสองครั้งในหนึ่งปี
สถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม 2025 ไม่ใช่ครั้งแรกของปีนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม เคยเกิดเหตุปะทะครั้งใหญ่แล้ว และเมื่อเหตุการณ์กลับมาซ้ำรอย ผู้ประกอบการในพื้นที่เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่แค่วิกฤตชั่วคราว แต่อาจเป็นจุดเปลี่ยนถาวรของโครงสร้างเศรษฐกิจชายแดน
ตัวเลขจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสะท้อนความรุนแรงของปัญหา การค้าชายแดนที่เคยมีมูลค่าถึง 300,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 หดตัวเหลือเพียง 95,554 ล้านบาท ลดลง 36.68% และเมื่อเกิดการปิดด่านครั้งล่าสุด กิจกรรมการค้าหดหายไปถึง 99.5% เหลือเพียง 0.5% ของภาวะปกติ
“เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจชายแดนสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อวัน ครอบคลุมทั้งภาคการค้า บริการ เกษตร และการจ้างงาน ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ชายแดน แต่ลุกลามไปยังจังหวัดใกล้เคียงอย่างบุรีรัมย์ที่เศรษฐกิจหดตัว 10-15%
เศรษฐกิจแบบเดิม อยู่ไม่ได้อีกต่อไป
โครงสร้างเศรษฐกิจชายแดนอีสานใต้ที่ครอบคลุมสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียง สร้างมาบนรากฐานของการค้าข้ามแดน ไทยส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่นำเข้าผลไม้ ไม้ และสินค้าพื้นบ้านจากกัมพูชา ด่านสำคัญ 7 แห่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของภูมิภาค
แต่เมื่อความมั่นคงกลายเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“ต่อให้ด่านเปิด การค้าขายก็ไม่เหมือนเดิม ธุรกิจค้าส่งแบบนี้ในทำเลนี้ไม่รอด” รมิดากาญจน์พูดอย่างตรงไปตรงมา เธอเห็นชัดว่าแม้สถานการณ์จะกลับสู่ปกติ โครงสร้างธุรกิจที่พึ่งพาลูกค้าจากฝั่งกัมพูชาเป็นหลักไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้ว

คำถามก็คือ จะเปลี่ยนไปทำอะไร? คำตอบไม่ง่ายเลย
พาณิชย์จังหวัดที่เสนอให้จัดบูธขายสินค้าในพื้นที่อื่น หรือลดราคาสินค้า แต่สำหรับธุรกิจค้าส่งที่ขายแบบยกลัง มีต้นทุนค่าขนส่งและค่าแรงสูง กำไรต่อหน่วยต่ำ ทางเลือกเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้จริง
“เราไม่ได้คาดหวังการช่วยเหลือจากภาครัฐ รัฐบาลมีภาระต้องดูแลคนอพยพ ทหาร และพื้นที่น้ำท่วมอยู่แล้ว ส่วนเราแค่คิดว่าจะช่วยตัวเองอย่างไร” เธอกล่าว
ภาคธุรกิจเสนอทางออก แต่ต้องการมากกว่าเงิน
ภาคธุรกิจเอกชนที่รวมตัวกันจากสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา หอการค้าไทย และผู้แทนจาก 7 จังหวัดชายแดน เสนอมาตรการช่วยเหลือหลายด้าน ทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การพักหนี้ ลดภาษีท้องถิ่น ชะลอการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในพื้นที่ชายแดน และขอให้เปิดจุดผ่านแดนบางแห่งเป็นกรณีพิเศษ
แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่านั้นคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่น ในขณะที่กัมพูชามีมาตรการห้ามนำเข้าผัก ผลไม้ และน้ำมันจากไทย พร้อมแคมเปญรณรงค์ต่อต้านสินค้าไทย ผู้ประกอบการหลายรายต้องเปลี่ยนชื่อและตราสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ในขณะที่สินค้าจากประเทศคู่แข่งเข้ามาแทนที่
“ศุภจี สุธรรมพันธ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พยายามช่วยเหลือโดยการจัดงานธงฟ้าเพื่อระบายสินค้าชายแดน ประสานห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่นเพื่อหาช่องทางจำหน่ายใหม่ พร้อมประสานกับ SME D Bank และ EXIM Bank ให้สินเชื่อและเงินทุนหมุนเวียน
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการบรรเทาอาการชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาโรค
“ชายแดนสามเส้า” ที่พัฒนาไม่เป็น
ธนเชษฐ วิสัยจร จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ศึกษาเรื่องชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง เรียกพื้นที่นี้ว่า “ชายแดนสามเส้า” หรือ Triple Border ที่แม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์ แต่ไม่สามารถพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจได้เหมือนสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือ
“แผนเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าหายไปไหน ทำไมพื้นที่นี้ถึงไม่เดินไปในทิศทางเดียวกัน” เขาตั้งคำถาม
ปัญหาหนึ่งที่เขาชี้ให้เห็นคือทุ่นระเบิดจากความขัดแย้งในอดีตที่ยังไม่ได้เก็บกู้หมด แม้เวลาจะผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว “แค่เดินในบางพื้นที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเหยียบกับระเบิดลูกเก่าหรือไม่ ทั้งที่ยังไม่เก็บกู้หมด และในช่วงหลังกลับมีการฝังของใหม่ลงไปอีก”
น่าสนใจที่จังหวัดอุบลราชธานี แม้จะไม่มีด่านถาวรกับกัมพูชา แต่กลับมีชาวกัมพูชาเดินทางมารับบริการรักษาพยาบาลมากกว่าชาวลาว เพราะศักยภาพโรงพยาบาลขนาดใหญ่และโรงเรียนแพทย์ ร้านค้ารอบโรงพยาบาลหลายแห่งมีป้ายภาษากัมพูชา เจ้าของบ้านเช่ารับลูกค้าชาวกัมพูชาที่มาพักระหว่างรักษาตัว
แต่หลังสถานการณ์ความไม่สงบ บรรยากาศเหล่านี้เงียบลง ร้านค้ารายงานว่ารายได้พิเศษหายไป แม้ยังไม่มีการสำรวจเชิงตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่ผลกระทบเห็นได้ชัดเจน
บาดแผลที่ร้าวลึกกว่าที่คิด
“ลองคิดดูว่าถ้าคุณขับรถจากเสียมเรียบ ผ่านด่านเข้ามา แวะปั๊มน้ำมัน ใช้ภาษาต่างชาติ มีป้ายทะเบียนต่างประเทศ คนในพื้นที่จะลืมง่ายๆ เหรอ มันเป็นบาดแผลที่ร้าวลึก” อาจารย์ธนเชษฐกล่าว โดยยกตัวอย่างจังหวัดศรีสะเกษที่เคยถูกโจมตีด้วยจรวด BM21
ความรู้สึกหวาดระแวงฝังลึกในชุมชนชายแดน และต้องใช้เวลานานกว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว แม้ด่านจะเปิดอีกครั้ง
เขาชี้ว่าการตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างสมบูรณ์เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในด้านการรักษาพยาบาล “ต่อให้ยังมีความขัดแย้ง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่ดี คนที่มีเงินจะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด” แต่ขณะเดียวกัน บาดแผลทางสังคมจากความรุนแรงไม่ได้เลือนหายง่าย
สำหรับท่าทีรัฐบาล อาจารย์ธนเชษฐมองว่า “ยิ่งลากยาว รัฐบาลยิ่งเกิดบาดแผล” ต้นทุนของความยืดเยื้อไม่ได้อยู่แค่ในสนามรบ แต่ตกอยู่กับประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่ต้องอพยพและไม่สามารถกลับไปดูแลบ้าน ทรัพย์สิน และสัตว์เลี้ยงที่เป็น “ธนาคาร” ของคนจน
ทางออกที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ตรงไหน?
การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจชายแดนไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าหลังเหตุการณ์ปะทะ โครงสร้างจะเปลี่ยนจากพึ่งพาการค้าข้ามแดนแบบดั้งเดิมเป็นรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ผู้ประกอบการจะหันไปค้าขายในประเทศมากขึ้น ภาคเกษตรจะปรับสู่การผลิตเพื่อตลาดในประเทศและส่งออกทางเลือกอื่น เช่น ผ่านลาว
แต่สำหรับ “รมิดากาญจน์”และผู้ประกอบการหลายรายที่มีธุรกิจค้าส่งขนาดใหญ่ การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย เธอไม่มีแผนขยายหรือเปลี่ยนธุรกิจ เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้อและการเริ่มต้นใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
สิ่งที่เธอทำได้คือประคองร้านไว้ให้อยู่ต่อไป เพื่อรักษาพนักงาน 7-8 คนที่ทำงานกับเธอมานาน “ทุกคนช่วยกันดูแลกันไปก่อน” เธอกล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่ามาตรการเยียวยาประชาชนโดยตรง เช่น เงินช่วยเหลือรายบุคคล อาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในพื้นที่ได้บ้าง “ถ้าชาวบ้านมีเงิน เขาก็ออกมาซื้อของ ร้านค้าทุกแห่งก็พอได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่ร้านเรา”
บทเรียนสำหรับอนาคต
เรื่องราวของด่านช่องจอมสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจที่สร้างบนรากฐานของความสัมพันธ์ข้ามพรมแดน เมื่อความมั่นคงกลายเป็นตัวแปรที่ไม่แน่นอน ทุกอย่างสามารถพังทลายได้ในชั่วข้ามคืน
การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่แค่การออกนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญ ต้องการความเข้าใจว่าผู้ประกอบการแต่ละรายมีบริบทและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
ณ วันนี้ ร้านค้าบริเวณด่านช่องจอมยังคงเงียบสงัด รมิดากาญจน์ยังคงควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายค่าแรงพนักงาน ไม่รู้ว่าจะทำได้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าการค้าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่คือ แม้ไม่มีใครมาช่วย เธอก็จะพยายามต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะนั่นคือทั้งหมดที่เธอทำได้ในตอนนี้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




