สถานการณ์ชายแดนไทยและกัมพูชา เริ่มปะทุรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. หลังเกิดเหตุการณ์ลอบวางทุ่นระเบิดบริเวณพื้นที่ชายแดนช่องบก และช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
จากนั้นเหตุการณ์ปะทะได้ขยายวงกว้างไปตลอดแนวชายแดนและพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก โดยไทยดำเนินมาตรการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมดรวม 18 จุด ทั้งจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรนการค้า และจุดผ่อนปรนการท่องเที่ยว รวมทั้งปิดสถานที่ท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดน การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนของบริษัทไทยในกัมพูชา เนื่องจากการขนส่งสินค้าที่หยุดชะงัก
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกสิกรไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายมีอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน
การค้าชายแดนสูญ 1.4 หมื่นล้าน/เดือน
การค้าชายแดนถือเป็นช่องทางที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด เนื่องจากการค้าชายแดนไทยและกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่ 80,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกชายแดนอยู่ที่ 63,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%YoY และมูลค่าการนำเข้าชายแดนอยู่ที่ 17,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%YoY
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่รุนแรงขึ้นจะกดดันต่อมูลค่าการค้าชายแดนในช่วงที่เหลือของปี 2568
เฉพาะผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด Krungthai COMPASS ประเมินว่าจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกชายแดนหายไปราว 11,410 ล้านบาทต่อเดือน และมูลค่าการนำเข้าชายแดนหายไปราว 2,601 ล้านบาทต่อเดือน
สำหรับด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงมาก ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 8,663 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากด่านอรัญประเทศเป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชาที่สำคัญในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว
ในปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านด่านอรัญประเทศอยู่ที่ 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ส่วนด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ ด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด และด่านจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี โดยคาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปราว 2,457 และ 2,159 ล้านบาทต่อเดือนตามลำดับ
กลุ่มสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ เครื่องดื่มอื่น ๆ น้ำแร่น้ำอัดลมที่ปรุงรส ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์อื่น ๆ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่น ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกผ่านชายแดนไปกัมพูชาในปี 2567 มูลค่ามากกว่า 4,000 ล้านบาท และมีสัดส่วนการส่งออกผ่านชายแดนสูงถึง 93%-100% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าแต่ละรายการไปกัมพูชา
กลุ่มสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก เศษของอะลูมิเนียม ลวดและสายเคเบิลที่หุ้นฉนวน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าผ่านชายแดนจากกัมพูชาในปี 2567 มูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชาราว 1-2 ล้านตันต่อปี
หากมีการปิดด่านหลายเดือน อาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบมันสำปะหลังในบางช่วง และต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดแทน เช่น สปป.ลาว และเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย เช่น อาหารแปรรูป อาหารสัตว์ เป็นต้น
กระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ประเมินผลกระทบการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อ มิ.ย. 68 ดังนี้ ระยะสั้นใน 3 เดือนแรก ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก โลจิสติกส์เปลี่ยนเส้นทาง ส่วนผลกระทบระยะกลาง 3-12 เดือน ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่ หากยืดเยื้อนานเกิน 1 ปี อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง
ทั้งนี้ การบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการควรพิจารณาการกระจายการค้าไปยังด่านอื่นที่ยังเปิดอยู่ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางเลือก เช่น รถไฟ, ทางทะเล หรือขนส่งผ่านเวียดนาม และลาว ตลอดจนการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ขาดรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ความเสียหายจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคการท่องเที่ยวราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น
1. ผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามามีแนวโน้มลดลง คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 1,185 ล้านบาทต่อเดือน นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาจมีสัดส่วนเพียง 2% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในไทย โดยในช่วง 6 เดือนของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามาไทยอยู่ที่ 217,652 คน ลดลงถึงราว -21%YoY
คาดว่าผลกระทบจากการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาจะทำให้นักท่องเที่ยวกัมพูชาลดลงในช่วงที่เหลือของปี 2568 ซึ่งเมื่อประเมินจากสถิติค่าใช้จ่ายของชาวกัมพูชาในปี 2565-2566 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด พบว่า ค่าเฉลี่ยของความเสียหายจากการขาดรายได้ของนักท่องเที่ยวกัมพูชาจะอยู่ที่ราว 1,185 ล้านบาทต่อเดือน
2. ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะคาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 1,785 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น ความเสียหายจากการขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,766 ล้านบาทต่อเดือน และความเสียหายจากการขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ล้านบาทต่อเดือน โดยการประมาณการข้างต้นประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในปี 2565-67 ทั้งนี้ใน 4 จังหวัดดังกล่าว มี จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดอุบลราชธานี เป็น 2 จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญเช่น ปราสาทตาเหมือนธมและปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายแดนสำคัญใน จังหวัดสุรินทร์ ได้ถูกสั่งปิดแล้ว และการปะทะที่เกิดขึ้นคาดส่งผลลบต่อเทศกาลท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2568 เช่น งานเทศกาลผลไม้และของดีศรีขุนหาญ งานแข่งฟุตบอล งานดนตรี งานแสดงหุ่นยนต์ ในจังหวัดศรีษะเกษ เป็นต้น
ผลกระทบลงทุนไทยในกัมพูชา
ในเบื้องต้นขณะนี้ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาในพื้นที่นอกเหนือจากจุดปะทะยังมีไม่มากนัก เนื่องจากการปะทะยังจำกัดอยู่เฉพาะบางจุดตามแนวชายแดน และยังไม่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในเขตเมืองกัมพูชา
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบสูง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม และค้าปลีก เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชาบางส่วนได้เตรียมมาตรการบริหารจัดการในกรณีฉุกเฉินไว้รองรับ หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังได้เตรียมความพร้อมด้านการอพยพพนักงานสัญชาติไทยกลับมายังประเทศไทยไว้แล้ว
นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานกัมพูชารวมกว่า 1 ล้านคน (แรงงานถูกกฎหมายราว 5.1 แสนคน) หากมีการดึงแรงงานกัมพูชากลับประเทศอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ก่อสร้าง การขายส่งขายปลีก อสังหาริมทรัพย์ และประมง เป็นต้น
จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในเดือน พ.ค. 2568 พบว่า ไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งสิ้น 4,080,613 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา 2,987,988 คน กัมพูชา 512,184 คน และสปป.ลาว 289,217 คน
โดยแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในกิจการก่อสร้างจำนวนอย่างน้อย 1.58 แสนคน รองลงมาคือกิจการต่อเนื่องการเกษตร จำนวนอย่างน้อย 31,958 คน และกิจการเกษตรและปศุสัตว์ จำนวนอย่างน้อย 2.64 หมื่นคน ซึ่งแรงงานทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพมหานคร และชลบุรี
การค้าไทย-CLMV แนวโน้มชะลอลง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดการค้าระหว่างไทยกับประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) มีแนวโน้มจะชะลอลง จากอุปสงค์ในภูมิภาคที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก ความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชากับไทย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านลบมากขึ้น
แม้มูลค่าเม็ดเงินลงทุนทางตรงไหลออกจากไทยไปยังภูมิภาค CLMV กลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 แล้ว และกระจายไปในหลายสาขาธุรกิจ เช่น สาขาการเงิน การประกันภัย และการผลิตอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและความระมัดระวังของนักลงทุนในบรรยากาศโลกเช่นนี้ อาจทำให้แนวโน้มการลงทุนจากไทยชะลอตัวลง
ขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงหลายด้าน แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่หากการปิดด่านชายแดนยังคงยืดเยื้ออาจกดดันแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศได้
นอกจากนี้ บรรยากาศการลงทุนและการท่องเที่ยวอาจชะลอตัวลงจากความไม่มั่นคงหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น อย่างไรก็ตาม หากแรงงานกัมพูชาในไทยทยอยเดินทางกลับประเทศมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทยจำกัด เนื่องจากยังสามารถหาแรงงานสัญชาติอื่นทดแทนได้
คาดเศรษกิจไทยปี 68 โตน้อยลง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ประเมินความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีผลกระทบจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ณ เดือน ก.ค. คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี (ปี 67 ขยายตัวร้อยละ 2.5) ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.1 (ณ เม.ย. 2568) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ที่มา : ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกสิกรไทย / ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
จับตา “Twin Influx” สินค้าสหรัฐฯตามจีน “ทุบตลาดไทย”
ไทยเจอภาษีสหรัฐฯ 36% เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยใน 1 ปี
สงครามการค้ากำลังเปลี่ยนธุรกิจไทย กลายเป็นยี่ปั้ว-เลิกผลิตแข่งขัน