ผ่านมาเกือบ 1 เดือน หลังข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระหว่างไทย–กัมพูชา ในวันที่ 28 ก.ค. 68 แต่ความตรึงเครียดไม่ไว้วางใจ สะท้อนผ่านการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว บนโลกโซเชียล จนดูเหมือนว่า ความขัดแย้งและการปะทะระหว่างสองประเทศพร้อมจะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา
เราจะทำอย่างไรให้เสียงแห่ง “สันติภาพ”ดังขึ้น กลบกระแสความเกลียดชัง และความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากการปะทะ เพราะบทเรียนประวัติศาสตร์ย้ำเตือนว่า สงครามไม่ใช่ทางออกของความขัดแย้ง
เมื่อ 16 ส.ค. ซึ่งถือเป็นวันครบรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาวิชาการ “บทบาทสังคมไทยกับการขับเคลื่อนสันติภาพในเวทีไทยและเวทีโลก” โดยมีนักวิชาการและตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมแลกเปลี่ยนถึง ปัญหา “การสร้างสันติภาพ”ในประเทศไทยยังเป็นเรื่องยากและยังมีอุปสรรคปัญหาจากทัศนะคติความรุนแรง และเสียงของความรักชาติ จนทำให้เสียงของสันติภาพไม่ดังพอที่จะกลบเสียงความเป็นชาตินิยมที่จะนำไปสู่ความรุนแรงได้
บทบาทมหาวิทยาลัย ไม่ได้สร้างสันติภาพ
หากมองการสร้างสันติภาพผ่านบทบาทมหาวิทยาลัย วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า การสร้างสันติภาพในประเทศไทยยังเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะต้องกลับมาดูบทบาทมหาวิทยาลัยซึ่งต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ การผลิตนักศึกษาตามที่สังคมต้องการ สอง บทบบาทในการชี้นให้แสงสว่างกับสังคม และบาทที่สุดท้ายคือ การเตือนสติสังคม
แต่ขณะนี้หากมีการกล่าวถึงเรื่องสันติภาพในไทย จะเป็นเรื่องของการปั่นความรู้สึกค่อนข้างสูง แต่การสร้างความรู้สึก เครื่องหมายรักชาติที่มากมายขนาดนี้ ไม่ต่างจากการเทยาพิษลงไปในบ่อน้ำสาธารณะที่จะมีผลต่อเรื่องยาวนาน และไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรในการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนบ้าน
“ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีเขตแดนติดกันเราต้องอยู่ด้วยกันอีกพันปีเราก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน พึ่งพาอาศัยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเรามองเพื่อนบ้านของเราเป็น ศัตรู เพื่อนบ้านมองเราเป็นศัตรูเราจะอยู่ด้วยกันอย่างไรในวันข้างหน้า สิ่งที่ผมกังวลคือความรู้สึกของคนสองประเทศ โดยเฉพาะการมีโชเซียลมีเดียทำให้ความรู้สึกไปไกลและห่างไกลจากคำว่าสันติภาพ”
สันติภาพ ในความหมายของ “วรากรณ์” คือความรักมนุษย์ด้วยกันเองความสงบ และยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความยากที่จะให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน ดังนั้นสถานการณ์ไทย- กัมพูชาที่มีการปั่นกระแสชาตินิยมในปัจจุบัน จึงน่ากังวลเพราะหากเหตุการณ์สงบแล้วเชื้อของอารมณ์ดังกล่าวก็พร้อมจะปะทะขึ้นมาได้ตลอดเวลาในอนาคตข้างหน้า
“หลังจากที่เหตุการณ์สงบแล้วอาจต้องมีการเยียวยา ความรู้สึกของคนทั้งสองประเทศเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ โดยบทบาทของมหาวิทยาลัยจะต้องเข้ามาทำหน้าที่ในการเตือนสติในเรื่องนี้”
“วรากรณ์” ค่อนข้างผิดหวังการทำหน้าที่ของมหาวิทยาลัย เพราะนอกจากไม่ได้ทำหน้าที่เตือนสติสังคมแล้ว แต่ยังพบว่าบางส่วนเข้าไปส่วนหนึ่งของการปลุกปั่นกระแสรักชาติ ซึ่งเห็นว่ามหาวิทยาลัยควรจะออกมามีบทบาทมากขึ้น เพราะถือเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในมหาวิทยาลัยที่จะต้องช่วยกันออกมาเตือนสติให้สังคมมองปัญหาไทย กัมพูชา ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
“ผมคิดว่าสันติภาพเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เพราะถ้าเราไม่มีสันติภาพ เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไม่ได้”
ส่วนกรณีการตัดงบประมาณการศึกษาที่ไทยให้กัมพูชา “วรากรณ์” ให้ความเห็นว่า การตัดทุนการศึกษา การห้ามให้เด็กข้ามมาเรียน หรือการให้แรงงานกัมพูชาต้องกลับประเทศนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคำว่า ‘สันติภาพ’ ทั้งสิ้น การศึกษาเป็น Universal Rights และการจำกัดการศึกษาไม่ว่าจะต่อประเทศอะไรก็ตาม จะส่งผลเสียในระยะยาวมากกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งนี้กลไกที่การศึกษาจะช่วยทำให้เข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่นและ เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนไม่ชอบอะไรที่แตกต่าง ฉะนั้นแล้ว เราต้องเอาชนะธรรมชาติตรงนี้ให้ได้
“วรากรณ์” ชี้ให้เห็นตัวอย่างของเยอรมนีว่า การศึกษาช่วยขับเคลื่อนสันติภาพ โดยจะเห็นได้จาก เหตุการณ์เยอรมนีตะวันตก-ตะวันออกพยายาทรวมศูนย์ มีป้ายเขียนว่า ทุกคนล้วนเป็นแต่คนอพยพทั้งสิ้น และถ้ามองในภาพที่กว้างขึ้น จีน อเมริกา หรือไทยเอง ก็เป็นคนอพยพทั้งหมด ถ้าเรามองและยอมรับได้ว่าทุกคนเคลื่อนย้าย จะช่วยให้คนเห็นใจและเข้าใจมากขึ้น โดยมีการศึกษาช่วยขับเคลื่อน
“สันติภาพ” ต้องปลูกฝั่งตั้งแต่เด็ก
สิทธิวัฒน์ เลิศศิริ รองอธิการบดี และรักษาการผู้อำนวยการ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา บอกว่า มีความพยายามใช้ Soft power ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในโลกโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งข้อมูลข่าวจริง และข้อมูลข่าวสารเท็จ ที่ตรวจสอบได้ยาก แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งของการใช้ Soft power ในการสร้างสันติภาพสามารถทำได้เช่นกัน
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ไปเรียนและอาศัยในญี่ปุ่นมานานหลายปี พบว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สิ่งที่ญี่ปุ่นทำคือความพยายามที่จะบอกกล่าวประชาชนของเขามาตลอดว่า สันติภาพเป็นสิ่งที่ต้องธำรงไว้
“ในทุกวันที่เป็นสัญลักษณ์ของการแพ้สงคราม ญี่ปุ่นจะทำกิจกรรมเพื่อจะบอกกล่าวเรื่องสันติภาพอย่างสม่ำเสมอในทุกปี แล้วสิ่งเหล่านี้ถูกเผยแพร่โดยสื่อต่างๆของญี่ปุ่นทุกปี “
สิทธิวัฒน์ เน้นว่าข้อความเรื่องสันติภาพจำเป็นต้องถูกย้ำและถ่ายทอดซ้ำทุกปี พร้อมยกตัวอย่างการบูรณะเรื่องสั้น “เปียโนอะกิโกะ” ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียชีวิตในการระเบิดของฮิโรชิมา ให้กลับมาเป็นสัญลักษณ์เพื่อเล่าเรื่องสันติภาพแก่เยาวชน
“ในสังคมญี่ปุ่นตอนนี้คือการปลูกฝัง ทำให้คนรุ่นใหม่มอง peace เป็นอีกแบบหนึ่งที่เขาต้องรักษาไว้”
นอกจากนี้ “สิทธิวัฒน์”ย้ำว่า ด้วยฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือ การหาข้อเท็จจริง หาความความจริง และควรมีการกล่าวคำขอโทษเกิดขึ้น ในส่วนของหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยควร คือสอนวิธีการเข้าใจสถานการณ์ วิธีการเล่า เพื่อให้นักศึกษาได้มีวิสัยทัศน์อย่างครอบคลุมและกว้าง
การสร้างสันติภาพในไทยยังเกิดขึ้นยาก
การสร้างสันติภาพในประเทศไทยยังเป็นเรื่องยาก สำหรับ กัณวีร์ สืบแสง ส.ส พรรคเป็นธรรม เห็นว่าการสร้างสันติภาพเป็นภัยคุกคามของประวัติศาสตร์ของไทย เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทย คือการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนต้องเหมือนกันเท่านั้นทำให้ ความแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้
“ผมทำงานเรื่องสันติภาพ พอผมลงไปทำงาน สันติภาพในพม่า ก็บอกว่าเป็น ส.ส. พม่า แต่ พอไปทำเรื่องสันติภาพชายแดนไต้ ก็บอกว่าเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน ผมเป็นผลผลิตจากประวัติศาสตร์ทำให้คนทำงานเรื่องสันติภาพลำบาก”
“กัณวีร์” เห็นว่าการสร้างสันติภาพ อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะเขามองเห็นว่าเป็นเรื่องนามธรรม ขณะที่ การผลักดันกระบวนการสันติภาพ และสิทธิมนุษย์ชนผ่านร่างกฎหมายเช่น พ.ร.บ.เลือกปฏิบัติ และกฎหมายอีกหลายฉบับที่ยังติดขัด ในสภาผู้แทนราษฎร เพราะมักจะถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ทำให้การผลักดันเรื่องสันติภาพเป็นเรื่องยากในสังคมไทย แต่ก็เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? หลังเหตุปะทะ “ไทย-กัมพูชา”
ความท้าทายในการสร้างสันติภาพ สำหรับ “อังคณา นีละไพจิตร” สว. กลุ่มประชาสังคม อดีตกรรมการสิทธิมนุษย์ชน คือการทัศนคติที่มองความเป็นมนุษย์ในความขัดแย้งไทย -กัมพูชา และเห็นว่าความขัดแย้งทางอาวุธ เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ แต่คำถามท้าทายในการสร้างสันติภาพ คือเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรหลังจากนี้ เพราะเหยื่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีทั้งสองฝ่าย
“เราต้องยอมรับว่าเราสามารถมีสันติภาพได้ท่ามกลางแตกต่างหลากหลาย เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ถ้าเรามองความแตกต่างเป็นภัยคุกคาม และเรายึดหลักดินแดน กระทั่งมองข้ามชีวิตของมนุษย์ของทั้งสองฝ่าย”
“ อังคณา” ได้กล่าวถึง ปรีดี พนมยงค์ ถึงเชื่อมั่นความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเห็นว่า สังคมที่ไม่เป็นธรรมก็จะเสื่อมสลายในที่สุด ขณะที่สังคมที่มีเมตตา ภารดรภาพ มีความเท่าเทียม เห็นใจผู้อื่น สังคมเหล่านี้จะทำให้คนมีความสุข และมีสันติภาพ เห็นอกเห็นใจคนอื่นจะทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
“เราจะอยู่ร่วมกันต่อไปอย่างไร หลังจากเหตุการณ์ เพราะจากบทเรียนที่มีโอกาพบกับแม่ๆในสงครามยูเครน ที่พวกเขาได้เรียนรู้ การเริ่มสงครามจากความโกธรแค้น จากนั้นเริ่มสร้างความหวังว่าคนที่เขารักจะกลับมาเพื่อใช้ชีวิตปกติอย่างไร”
เช่นเดียวกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาหลังจากเหตุการณ์ณ์จบลงเราต้องเรียนรู้จะอยู่ร่วมกันอย่างไร จึงไม่อยากให้มีการยั่วยุ ความรู้สึกรักชาติ แม้ความรู้สึกรักชาติจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่อยู่เหนือความสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยการสร้าง “สันติภาพ” เป็นความทรงจำทางประวัติศาสตร์เพื่อลดความรุนแรงในอนาคต
สังคมไทยต้องมองความขัดแย้งจากข้อเท็จจริง
การสร้างสันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากสังคมยังมองไม่เห็นข้อเท็จจริงของความขัดแย้ง ว่าเรากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร โดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า สังคมไทยต้องตั้งหลักว่าจะถืออะไรเป็นสรณะ ถ้ายึดความรุนแรงเป็นสรณะ เราจะบอกว่า พระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณ เคยเป็นของไทย เพราะฉะนั้น รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจต้องสร้างทัศนะโลกสวย ซึ่งหมายถึงการมีสันติภาพ
“ปัญหาของเราขณะนี้คือเราทะเลาะกันเรื่องเส้นเขตแดนเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ต้องมีเอกสารและหลักฐานข้อเท็จจริง แต่เราตั้งหลักด้วยทัศนะอัปลักษณ์ แต่เราไม่ได้ตั้งหลักด้วยการมองเห็นชีวิตมนุษย์ ทำให้มองไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนทั้งสองฝ่าย”
“อัครพงษ์” ตั้งคำถามว่า ในสถานการณ์ปะทะ ไทย-กัมพูชา มักจะมีการกล่าวถึงแผนที่ แต่ถามว่ามีใครสักคนเคยเห็นแผนที่หรือไม่ จึงอยากให้กรมแผนที่ทหารนำแผนที่จริงวออกมาเปิดเผยเพื่อทำให้เข้าใจว่าสื่อทั่วโลกไม่เข้าข้างไทย
ดังนั้นสังคมไทยควรเริ่มตั้งสติจากการเรียนรู้ข้อเท็จจริงโดยต้องนำแผนที่ไม่ว่าจะเป็น 1:20,000 หรือ 1: 50,000 รวมไปถึงMOU43 ที่มีทั้งหมด 9 ข้อ โดยข้อ 3 มีเรื่องการกู้กับระเบิด ซึ่งเมื่อเราเรียนรู้ข้อเท็จจริงจะมีความเข้าใจความขัดแย้งที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรงเช่นปัจจุบัน
อาเซียนไม่ใช่ความหวังแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ส่วนบทบาทอาเซียนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย- กัมพูชา วิทยากรบนเวทีเสวนาเห็นว่า ไม่สามารถฝากความหวังไว้กับอาเซียนได้เนื่องจาก กฎบัตรอาเซียนคือไม่แทรกแซง ปัญหาของประเทศสมาชิกทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ดังนั้น การปฏิรูปโครงสร้างและภูมิภาค โดยเฉพาะบทบาทของอาเซียนที่ต้องก้าวข้ามหลักการ “ไม่แทรกแซง” (consensus) และพัฒนากลไกความรับผิด (accountability) ในระดับภูมิภาคเพื่อลดทอนวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด รวมถึงการใช้หลัก “ความรับผิดชอบในการปกป้องประชาชน” (R2P) เพื่อย้ำว่าสันติภาพไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงนามธรรม แต่ต้องผูกโยงกับการพัฒนาและสิทธิมนุษยชน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: