กว่าทศวรรษของความพยายามในการสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ นับตั้งแต่ปี 2556 แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่าสังคมยังคงตั้งคำถามถึง “กระบวนการพูดคุย” และบางฝ่ายยังมองว่า “การปราบปราม” อาจเป็นหนทางนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ที่ยืดเยื้อนี้ หรือไม่ “เสียง” ที่แท้จริงของประชาชนชายแดนใต้อยู่ตรงไหนของสมการนี้ ?
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นชวนทำความเข้าใจกับสถานการณ์ และหาคำตอบร่วมกันใน “Policy Forum : ประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการสันติภาพ” เพื่อร่วมสร้างสรรค์หนทางสู่สันติภาพอย่างแท้จริงในพื้นที่ชายแดนใต้
50% ของประชาชนชายแดนใต้ หนุนเจรจาสันติภาพ
“ข้อมูลทางวิชาการและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ลดลง ตั้งแต่ปี 2556 ที่มีกระบวนการพูดคุยสันติภาพเกิดขึ้น”
ผศ.พันธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ รักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
นี่ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า “การเจรจาสันติภาพ” คือทางออกสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ ยังมีผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็น “ความหวัง” ในการลดความรุนแรงอีกด้วย
โดยนักวิชาการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ หรือ “Peace Survey” ที่ทำร่วมกับ 24 องค์กรภาคีเครือข่าย ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 7 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559 – 2566 พบว่า ประชาชนกว่า 50 % จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 10,000 คน สนับสนุนให้มีการเจรจาสันติภาพ
“ครั้งแรก ๆ เสียงส่วนใหญ่ สนับสนุนให้มี ‘การพูดคุย’ แม้จะยังไม่ได้ ‘เชื่อมั่น’ ในวิธีการขนาดนั้น แต่ต่อมา ‘ความเชื่อมั่น’ ก็ค่อย ๆ ขยับขึ้น และคนในพื้นที่มี ‘ความหวัง’ มากขึ้น ส่วน ‘ความก้าวหน้าของการเจรจา’ หลายคนกลับเห็นและรู้สึกว่า เติบโตช้ากว่าปัจจัยอื่น ๆ”
ผศ.พันธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ รักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “เสียงของประชาชน” ที่เชื่อมั่นและมีความหวังว่าการเจรจาสันติภาพจะช่วยยุติความขัดแย้งที่มีอยู่นี้ลงไปได้ กลับสวนทางกับ “ความก้าวหน้าของการเจรจา”
ดังนั้นแล้วเสียงของพวกเขามีความหมายหรือถูกรับฟังมากน้อยแค่ไหนในกระบวนการสันติภาพนี้ … ?

ผศ.พันธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ รักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
“เจรจาสันติภาพ” แนวทางยุติความขัดแย้งที่ยั่งยืนและแพร่หลายสุดในโลก
เรื่องหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ คือ “จะไปคุยกับโจรทำไม ?” ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงพยายามศึกษาค้นหางานวิชาการ เพื่อหาคำตอบว่าจริง ๆ แล้วกระบวนการสันติภาพทั่วโลก เขาไปคุยกันกับใคร
“โครงการศึกษาวิจัยการหาข้อยุติทางการเมือง จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ทำฐานข้อมูลกระบวนการเจรจาสันติภาพทั่วโลก 1,500 กรณี ตั้งแต่ปี 1990 พบว่า การเจรจาสันติภาพเป็นหนึ่งในแนวทางยุติความขัดแย้งที่ยั่งยืน และใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“การเจรจา” ทำให้เกิดการพูดคุยไปจนถึงรากเหง้าของปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่คำตอบ ทำไมต้องจับปืนขึ้นสู้ ? หรือทำไมฝ่ายหนึ่ง ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ ? แล้วประชาชนอยู่ตรงไหนของกระบวนการนี้ ? ซึ่งมีแต่ “การพูดคุย” เท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ โดยที่ “การปราบปราม” ไม่สามารถทำได้
แต่การเจรจาจะคุยกับใคร ถ้าไม่พูดกับโจร ? ข้อมูลล่าสุด ในปี 2566 จากสำนักวิชาวัฒนธรรมแห่งสันติ มหาวิทยาลัยประจำเขตปกครองตนเองแห่งบาร์เซโลนา ยิ่งย้ำชัดว่า การเจรจาส่วนใหญ่ต้องคุยกับโจร
โดย จากการศึกษาการเจรจาสันติภาพทั่วโลก 45 กรณี ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นความขัดแย้งภายในรัฐ บางกรณีเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐ แบ่งออกเป็น 28 กรณี และ 17 กรณี ตามลำดับ ซึ่งความขัดแย้งภายในรัฐ คิดเป็น 62% และพวกเขาใช้ “การพูดคุย” โดยมีรัฐเป็นคู่เจรจาสำคัญ กับขบวนการติดอาวุธ
อย่างไรก็ตามหลายกรณีไม่ได้คุยกับกลุ่มขบวนการติดอาวุธเพียงขบวนการเดียว อย่างที่ โคลัมเบีย ในปี 2566 รัฐได้พูดคุยกับ ขบวนการติดอาวุธถึง 3 กลุ่ม ในขณะที่ ฟิลิปปินส์ ก็คุยกับหลายกลุ่มขบวนการ บทเรียนจากทั่วโลกเหล่านี้ ย้ำชัดว่าต้องเดินหน้าพูดคุยให้ได้
สิ่งสำคัญของการเจรจานั้น มีวาระต่าง ๆ เช่น เพื่อลดอาวุธ ถอนกำลัง การเตรียมความพร้อมให้สมาชิกขบวนการติดอาวุธกลับคืนสู่สังคมได้ ไปจนถึงการจัดรูปแบบบริหารการปกครองใหม่เพื่อยุติความขัดแย้ง
ซึ่งวาระเบื้องต้นของเจรจาคือเพื่อ “ลดความรุนแรง” สร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อหยุดยิงหรือปะทะ ดังนั้นรัฐจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ขบวนการติดอาวุธหยุดยิงก่อนจึงเปิดพื้นที่เจรจา เหมือนกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสร้างเงื่อนไขเอาไว้
“ความหวังของประชาชนในพื้นที่คือการเปิดพื้นที่เจรจาเพื่อสันติภาพ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วและเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่าการปราบปราม ทั้งประหยัดงบประมาณ ลดการสูญเสีย ที่สำคัญการพูดคุยยังทำได้ในระดับประชาชนพลเรือน ไม่ต้องถูกผูกขาดด้วยกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทำไมการพูดคุยสันติภาพถึงสะดุด ?
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพยุติลง หรือเกิดขึ้นได้ยาก ได้แก่
- การแบ่งขั้วแยกข้างทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญต่อกระบวนการสันติภาพทั่วโลก เพราะเป็นการโจมตี ลดความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมให้กับฝ่ายที่มีข้อเสนอแตกต่างไปจากรัฐบาล เช่น การอ้างว่ารัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้อง “คุยกับโจร” หรือ “ไม่ใช่ตัวจริง”
- การเพิ่มขึ้นของการเข้ายึดกุมอำนาจนำในทางทหารซึ่งมักนำไปสู่การปราบปรามด้วยความรุนแรงมากกว่ากระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพ
- ผู้ขัดขวางกระบวนการพูดคุยหรือ ตัวป่วนในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่ในกระบวนการสร้างสันติภาพ
- กระบวนการสร้างสันติภาพไม่ครอบคลุมผู้คนหลากหลายกลุ่ม ซึ่งไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้ ดังนั้นต้องให้ประชาชนหลากหลายกลุ่มเข้ามาอยู่ในสมการ และการเจรจาต้องไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
- ความขัดแย้งไม่เคยแยกออกจากเสถียรภาพทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การเจรจาสันติภาพสำคัญที่ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ่านรัฐบาล มีตัวแทนคนใหม่เข้ามา ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งอีกครั้งในการสร้างความเชื่อมั่นกับคู่เจรจา
ถึงเวลาทบทวนสันติภาพที่แลกด้วยผู้บริสุทธิ์แล้วหรือยัง ?
ประวัติศาสตร์ในอดีต ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดหรือศาสนาใดต่างก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข มีการไปมาหาสู่กัน และกินข้าวร่วมโต๊ะอย่างเป็นปกติ หรือแม้แต่กระทั่งมีกระบวนการศึกษาที่เน้นใช้ภาษาไทยเป็นสื่อกลาง นี่ก็ไม่ได้ทำให้คนในชายแดนใต้รู้สึกแปลกแยกออกจากกัน กระทั่งเกิดกรณีตากใบ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่ชายแดนใต้
ผ่านมากว่า 20 ปีของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะคนพุทธหรือมุสลิมต่างก็ได้รับความเจ็บปวด บางคนได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือต้องสูญเสียพ่อแม่ คำถามคือความเจ็บปวดเหล่านี้ พวกเขาควรจะได้รับไหม ?
“ไม่ว่าจะฝ่ายขบวนการ ผู้ก่อเหตุ หรือรัฐบาล การที่เอาผู้บริสุทธิ์มาย่างอยู่บนเตา โดยบอกว่า ‘เพื่อสันติภาพ’ แล้วประชาชนอยู่ที่ไหนของสมการนี้ ถ้าคุณกำลังเอาคนบริสุทธ์มาเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เรื่องนี้จะต้องกลับมาทบทวน”
ธิดา วรรณลักษณ์ ประธานชมรมพุทธรักษาจังหวัดชายแดนใต้
ในมุมมองต่อศาสนากับความไม่สงบ ประธานชมรมพุทธรักษาจังหวัดชายแดนใต้เชื่อว่า “ทุกศาสนาหล่อหลอมให้เป็นคนดี” ถ้านำ “หลักธรรมคำสอน” มาใช้ในการแก้ไขปัญหา สถานการณ์อาจคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงอยากฝากทุกฝ่ายขออย่านำประชาชนมาเป็นเหยื่อ หากมีความเมตตาต่อกัน ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ธิดา วรรณลักษณ์ ประธานชมรมพุทธรักษาจังหวัดชายแดนใต้
ภาคประชาสังคมพร้อมเป็นโซ่ข้อกลาง ย้ำการเปิดโต๊ะเจรจาต้องเริ่มแล้ว
ลม้าย มานะการ ประธานสภาสังคมชายแดนใต้ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นโซ่ข้อกลางระหว่างภาครัฐและคนในพื้นที่ เล่าให้ฟังว่า จากการพูดคุยกับผู้นำกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อพูดคุยกับผู้นำของมารา ปาตานี, พูโล และ บีอาร์เอ็น พวกเขาต้องการ “การเจรจาสันติภาพ” ทั้งสิ้น แต่กลับกลายเป็นรัฐไทยจะขอคุยแค่กับ บีอาร์เอ็น กลุ่มเดียว ซึ่งอาจทำให้หลายฝ่ายคับข้องใจ และปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขอย่างครอบคลุม
ประธานสภาสังคมชายแดนใต้ จึงอยากให้ทุกฝ่าย มีเจตจำนงร่วมกันที่จะเปิดโต๊ะเจรจาโดยเร็ว ไม่ว่าจะรูปแบบลับหรืออย่างเปิดเผยก็ตาม เพียงแต่จะต้องมีการรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกคนรับรู้และตรวจสอบได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตและอนาคตของทุกคน
“‘สภาสังคมชายแดนใต้’ เราพร้อมที่จะเป็นโซ่ช้อกลาง ทำหน้าที่ติดตาม และเชื่อมโยงการพูดคุยทั้งจากแนวดิ่ง (ภาครัฐ กองทัพไทย ไปจนถึงคนในพื้นที่) และแนวราบ (คนในพื้นที่กลุ่มต่าง ๆ) เพราะ 20 ปีของความขัดแย้งกัดกร่อนความสัมพันธ์ ของคนพุทธ และคนอิสลามไปมากแล้ว จึงต้องเร่งพูดคุยกันเพื่อสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง”
ลม้าย มานะการ ประธานสภาสังคมชายแดนใต้
นอกจากนี้ “ลม้าย” ยังมองด้วยว่าการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของภาคประชาสังคมอาจไม่เพียงพอ สื่อมวลชนอาจต้องปฏิรูปการทำงาน ให้เกิดการสื่อสารสันติภาพด้วย เพราะการสื่อสารเชิงลบอาจกลายเป็น “วาทกรรมสร้างความเกลียดชัง” ซึ่งตรงนี้อาจช่วยลดความเข้าใจผิดจาก “ปฏิบัติไอโอ”

ลม้าย มานะการ ประธานสภาสังคมชายแดนใต้
การเมืองกรุงเทพฯ โยงใยสันติภาพปาตานี
“ผมเป็นอีกคนที่เชื่อว่าการมีกลไกการติดตามจากภาคประชาสังคม หรือองค์กรระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ‘มอนิเตอร์ริ่งทีม’ จะช่วยลดความรุงแรงได้ เพราะอย่าลืมว่าเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องมาจากความขัดแย้งเท่านั้น อาจมาจากการค้าของเถื่อน การค้าของผิดกฎหมาย หรือการก่ออาชญากรรม ก็เป็นไปได้
ถ้ามีทีมมอนิเตอร์ มีข้อมูลที่ชัดเจน การสร้างสันติภาพจะเดินไปข้างหน้า นี่แหละถึงสำคัญว่าทำไมต้องมีการพูดคุย”
ซูกริฟฟี ลาเตะ ที่ปรึกษาประธาน The Patani ฝ่ายการเมืองและสันติภาพ
ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือ ฝ่ายขบวนการอย่าง บีอาร์เอ็น หรือ พูโล ลงนามข้อตกลง JCPP และพร้อมที่จะหยุดปฏิบัติการทางอาวุธแล้ว แต่ตัวแทนรัฐบาลไทยกลับให้สัมภาษณ์ว่า “เราจะไม่คุย ถ้าไม่ใช่ตัวจริง” หรือแม้แต่กระทั่งการไม่ลงนามข้อตกลงระหว่างกัน ทั้งที่พวกเขายอมเสียเปรียบ ยอมพูดคุยภายใต้รัฐธรรมนูญรัฐเดียวแล้ว นี่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชัดเจนในการหาทางออกให้กับพื้นที่
เมื่อแต่ละฝ่ายไม่ชัดเจน จึงเกิดสภาวะอย่างที่เป็นอยู่คือ “เสียงของประชาชนอยู่ตรงไหน ?” จึงต้องย้อนกลับไปถามรัฐบาลเพื่อไทยว่า ทั้งที่ท่านได้เปรียบทั้งทางกฎหมาย และตัวละครสำคัญอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่สนิทกับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน กลับมาแล้ว การจะทำให้เกิดสันติภาพไม่ยากเกินมือท่าน แต่ต่อจากนี้ท่านอยากให้เป็นอย่างไร
การเจรจาสันติภาพ อาจไม่จำเป็นต้องรอเวลา หรือตั้งเงื่อนไข “ใครตัวจริง ตัวปลอม”เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นข้อผูกมัดที่ทำให้กาลเวลาล่วงเลยไป โดยที่ไม่ได้อะไร
“กระบวนการสันติภาพ ต้องอาศัย ‘ความเป็นประชาธิปไตยของกรุงเทพ‘ ที่จะส่งผลต่อกระบวนการสร้างสันติภาพปาตานีให้เกิดขึ้นได้ ถึงเวลาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะต้องมีเจตจำนงที่ชัดเจน ตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่าจะเดินหน้าในกระบวนการสันติภาพอย่างไร เพราะประชาชนตอนนี้ยังมีหวัง และกำลังจะหมดหวังแล้ว”
ซูกริฟฟี ลาเตะ ที่ปรึกษาประธาน The Patani ฝ่ายการเมืองและสันติภาพ

ซูกริฟฟี ลาเตะ ที่ปรึกษาประธาน The Patani ฝ่ายการเมืองและสันติภาพ
อนาคตของชาติแบบไหนที่ต้องการ ? เมื่อเด็กชายแดนใต้คือพลังขับเคลื่อนสำคัญ
“เด็กและเยาวชน” แทรกซึมอยู่ทุกสมการ แต่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็น โดย ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าสัดส่วนของคนกลุ่มนี้คิดเป็น 40% ของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ทั้งหมด และยังเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเด็กเกิดใหม่มากที่สุดในประเทศ
เมื่อพวกเขาคือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศในอนาคต แล้วจะปล่อยให้มรดกของความขัดแย้งนี้ดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน ?
“เด็กและเยาวชน แม้จะดูไร้เดียงสา แต่มีความสามารถ เพราะเป็นนักหล่อเลี้ยงความหวัง ท่ามกลางสังคมที่ไร้ความหวัง”
ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร
เด็กและเยาวชน ยังไม่ได้ใช้ชีวิตบนโลกมากเหมือนผู้ใหญ่ ยังไม่เข้าใจและซึมซับกับความขัดแย้งรุนแรง การเลือกสันติวิธีเป็นสิ่งที่พวกเขานึกถึงเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว เพราะพวกเขายังมีความฝัน อยากมีครอบครัว และอยากเห็นโลกที่สวยงามไม่ต่างจากทุกคน
เพียงแต่หากพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ย่อมเป็นความชอบธรรม ที่พวกเขาจะต้องหาทางต่อสู้ ซึ่งแม้แต่การสกัดกั้นด้วยกฎหมายฟ้องร้องก็อาจไม่สามารถหยุดยั้งได้
“คนนอกพื้นที่มักมีคำถามเกี่ยวกับความพยายามในการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ และอาจมีภาพจำในเชิง ‘ความรู้สึก’ มากกว่า ‘ข้อเท็จจริง’ แต่สุดท้ายแล้วเด็กและเยาวชนในพื้นที่ที่อยู่ในภาวะสมองไหล คือไปเรียนหรือไปทำงานที่อื่น กระจายตัวทั่วโลก พวกเราจะสามารถเป็นตัวแทนสื่อสารความจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้อยู่ดี จึงอยากให้สังคมทำความเข้าใจปัญหาด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง มากกว่าจะตัดสินจากความรู้สึกส่วนตัว”
ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร

ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร
เสียงชายแดนใต้ถึงทุกภาคส่วน ร่วมสร้างสันติภาพ
จากการพูดคุยภายในวงเสวนากว่า 2 ชั่วโมง สามารถสรุปข้อเสนอที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนร่วมตระหนักและร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่สันติภาพได้ ดังนี้
- รัฐบาลไทยต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ฟังเสียงของประชาชน และแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการเจรจาสันติภาพ
- มีกลไกการติดตามสถานการณ์ และตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพื่อสร้างความยุติธรรม
- มีการสื่อสารเชิงบวก ทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ การเปิดโต๊ะเจรจาไม่ว่าในรูปแบบลับหรือเปิดเผย ควรเปิดเผยความคืบหน้าให้ประชาชนเข้าถึงได้
- สื่อมวลชน ควรทำหน้าที่มากกว่าสื่อ ควรนำเสนอความจริงและตั้งคำถามที่นำไปสู่สันติภาพ
- มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกกลุ่ม เพราะการเจรจาที่เปิดกว้าง เป็นการนำปัญหารากเหง้ามาพูดคุยกัน ซึ่งจะสร้างสันติภาพได้อย่างแท้จริง
- ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ควรตระหนักพวกเป็นอนาคต การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและโอกาสให้พวกเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- การพูดคุยของสังคมเกี่ยวกับปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้
งบประมาณกว่า 5 พันล้านบาทที่สูญเสียไปในแต่ละปี หรือแม้แต่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่กำลังจะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ คือปัจจัยชี้ชัดว่า “ความขัดแย้ง” อาจไม่ใช่เรื่องของ “คนใน” อีกต่อไป หากแต่หมายถึง “พวกเราทุกคน” ที่จะร่วมกันกำหนดทิศทางของประเทศ ดังนั้นแล้วคุณปรารถนาให้สังคมไทยเป็นเช่นไร ? คำตอบอยู่ในมือของเราทุกคนแล้วที่จะต้องร่วมกันวาดภาพวฝันนั้นขึ้นมา