ThaiPBS Logo

วิกฤตความมั่นคงแก้ได้ด้วย ‘สันติภาพ’

20 ส.ค. 256811:11 น.
วิกฤตความมั่นคงแก้ได้ด้วย ‘สันติภาพ’
  • ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในวิกฤตมนุษยธรรม วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิกฤตความมั่นคงมนุษย์และความมั่นคงของชาติ ที่ต้องเร่งหาทางออก
  • ในการสร้างสันติภาพ นักการทูตควรมีบทบาทนำการทหาร ทั้งนี้เพื่อศักดิ์ศรีของไทยในฐานะประเทศรักสันติ กู้ภาพลักษณ์ประเทศที่ปกครองด้วยทหาร
  • นโยบายเพื่อสิทธิมนุษยชนและสันติภาพจะเป็นทางออกสำคัญของวิกฤติรอบด้านที่กำลังเกิดขึ้น
ประเทศไทยกำลังอยู่ในวิกฤตรอบด้าน ทั้งเรื่องสันติภาพ สิทธิมนุษยชน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและความมั่นคงของชาติ

แม้อยู่ระหว่างข้อตกลงไทย-กัมพูชาหยุดยิง แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด กองทัพไทยยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ และวางรั้วลวดหนามอย่างต่อเนื่อง และจากแถลงของกองทัพบกไทย ทางกัมพูชายังไม่กู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และในช่วงเวลาข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวนี้ ประชาชนหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้ไทย-กัมพูชาฟื้นฟูสันติภาพ ด้วยการเจรจาทางการทูตโดยเร่งด่วน

เสวนาวิชาการหัวข้อ สิทธิมนุษยชน สันติภาพและความมั่นคงมนุษย์ในยุควิกฤตรอบด้าน ในงาน Peace Festival Week  วันที่ 18 ส.ค. 2568 ได้เสนอทางออกของวิกฤตการณ์นี้ร่วมกันระหว่างนักวิชาการและตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ

อาทิตย์ ทองอินทร์ อาจาร์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกล่าวว่า วิกฤตสิทธิมนุษยชน สันติภาพและความมั่นคงมนุษย์เป็นวิกฤตโลก ซึ่งโลกของเราเริ่มตระหนักว่าอยู่สภาวะวิกฤตมนุษธรรมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่นความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร จากกรณีความขัดแย้งและสงครามในกรณียูเครน-รัสเซีย และ อิสราเอล–ปาเลสไตน์

วิกฤตทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรม ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่ถูกปิดซ่อนและไม่ได้แก้ไขปัญหา จนกระทั่งปัญหาบานปลายกลายเป็นความรุนแรงและวิกฤต ทั้งนี้เนื่องจากกลไกป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤไม่สามารถปฏิบัติการได้จริง ไม่ว่าจะเป็นภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ ระดับโลกและระดับภูมิภาค

โลกเพียงแต่เพิ่งมาตื่นตัวภายหลัง เพราะต้องการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้กลายเป็นสงครามระดับภูมิภาคและหสงครามโลกครั้งที่ 3 ในทางแก้ไขปัญหาคือ ภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ จะต้องปรับปรุงให้ปฏิบัติได้จริง ในการปกป้องสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม

 

ความร่วมมือระดับภูมิภาคแก้วิกฤตความมั่นคงมนุษย์

อาทิตย์ ทองอินทร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันดุลอำนาจระหว่างประเทศเปลี่ยน ระเบียบโลกใหม่เปลี่ยน ปัจจุบันมีมหาอำนาจทั้ง อเมริกา จีน รัสเซีย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ ประเทศต่าง ๆ จึงหันมายึดหลักอธิปไตยแห่งรัฐที่ประเทศอื่นจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้

เหตุนี้ทำให้หลายประเทศไม่ได้สนใจหลักการเดิมอย่าง “ความรับผิดชอบในการปกป้องคุ้มครอง” (Responsibility to Protect-R2P) ซึ่งเป็นพันธสัญญาทางการเมืองระดับโลก เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรมและความมั่นคงของมนุษย์ถดถอย ดังนั้นหลาย ๆ ประเทศต้องทบทวนสำนึกอัตลักษณ์ใหม่ ที่ไม่ตั้งอยู่บนฐานของรัฐชาติ แต่คำนึงถึงมนุษยธรรมเพื่อนำไปสู่การสร้างสันติภาพ

ในประเด็นความมั่นคงของรัฐ ความมั่นคงมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน อาทิตย์ อธิบายว่า เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด และเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐที่ต้องปกป้องรักษาเพื่อให้พลเมืองในประเทศปลอดภัย แต่รัฐยังกลับขาดกลไกและกติกาที่นอกเหนือหน้าที่พื้นฐาน เช่นการดูแลการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานข้ามชาติ เห็นได้จากรัฐยังไม่สามารถจัดการทรัพยากรเพื่อผู้ลี้ภัยได้

กรณีผู้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานข้ามชาติไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม เช่นผู้ลี้ภัย ผู้หลบหนีเข้าเมือง ควรเป็นรับผิดชอบและจัดการร่วมกันในระดับภูมิภาค ที่จะต้องทบทวนปรับปรุงและปฏิรูปกฎหมายในประเทศตนเอง รวมทั้งสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อให้รัฐสามารถบริการสาธารณะให้กับผู้ลี้ภัย ผู้อพยพข้ามชาติได้ ซึ่งจะต้องสร้างกลไกร่วมกันในระดับโลกและภูมิภาคไปพร้อมกับการกระจายภาระต้นทุน ไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งต้องแบกรับภาระ จนเกิดความตึงเครียดภายในประเทศและเกิดแรงต้านทางสังคม

 

บรรทัดฐานระหว่างประเทศเปลี่ยน กระทบความมั่นคงมนุษย์

ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างรัฐลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าโลกสงบสุขขึ้น เพราะความขัดแย้งได้ย้ายจากความขัดแย้งระหว่างประเทศมาสู่ภายในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ประชาชนในประเทศต้องเผชิญความรุ่นแรงโดยรัฐ

แม้ว่ารัฐมีหน้าที่ในการรับประกันความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน หากแต่พบว่ามีความรุนแรงจำนวนมากที่รัฐกระทำต่อประชาชน ซึ่งในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ใประชากร 262 ล้านคนถูกรัฐฆ่า ไม่ว่าจะเป็นการวิสามัญฆาตรกรรม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกดขี่ปราบปรามโดยรัฐ เป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนประชากรที่ตายในภาวะสงคราม

แต่ปัจจุบันเริ่มสังเกตได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางอาวุธด้วยเรื่องอาณาเขตอธิปไตย เช่น รัสเซีย-ยูเครน อินเดีย-ปากีสถาน ไทย-กัมพูชา ทั้งนี้เป็นเพราะบรรทัดฐานระหว่างประเทศ (international norms) เช่นกฎหมายระหว่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ สนธิสัญญา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนร่วมกันบนเวทีสากล เช่นรัฐไม่ควรใช้กำลังทหารเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ กลับไม่ได้รับความสำคัญอย่างแต่ก่อน

ดังจะเห็นได้ว่า “ความรับผิดชอบในการปกป้องคุ้มครอง” (R2P) ซึ่งเป็นพันธสัญญาทางการเมืองระดับโลกนั้น ไม่ถูกพูดถึงอีกต่อไป และให้ความขัดแย้งภายในประเทศเป็นเรื่องภายในประเทศที่จะจัดการกันเอง

นอกจากนี้บรรทัดฐานระหว่างประเทศมีแนวโน้มเปลี่ยนเป็น “มหาอำนาจทำอะไรก็ถูกเสมอ” หรือ “อำนาจคือความชอบธรรม” (“might is right”) รัฐขนาดใหญ่กว่าคุกคามรัฐขนาดเล็ก

ในระดับภาคประชาชนและภาคประชาสังคมนั้น ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีหรือการปฏิบัติการไร้ความรุนแรงว่า การปฏิบัติการไร้ความรุนแรงของประชาชนหรือภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจน้อยกว่ารวมตัวประท้วงนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ ให้พิจารณาที่ กลุ่มที่ไม่ได้เป็นคู่กรณีหันมาเห็นอกเห็นใจ เข้าข้างและสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ขบวนการเคลื่อนไหวด้วยสันติวิธีมีแนวโน้มชนะน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากรัฐปรับตัวอย่างมากและสร้างยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน เช่น รัฐส่งคนไปแทรกแซงขบวนการแล้วยุยงให้เกิดความรุนแรง เปลี่ยนจากการกดขี่ปราบปรามทางกายภาพ เช่นการทุบตี ใช้อาวุธ มาสู่การกดขี่กดปราบด้วยกฎหมาย ดังที่เราเรียกว่า “นิติสงคราม” ซึ่งแนบเนียนกว่า ดังจะเห็นได้ว่าการปราบปรามทางกายภาพลดน้อยลงแต่มีคดีทางการเมืองเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

รวมไปถึงยุทธศาสตร์การแบ่งขั้วแยกข้างอย่างชัดเจน ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธี แต่ถ้าคนละขั้วกันก็จะไม่สนับสนุนกัน เช่นการแบ่งกลุ่มเป็นชาวพุทธ-มุสลิม เสื้อเหลือง-แดง

และการแบ่งขั้วแยกข้างนี้ก็ถูกโซเชียลมีเดียทำให้แต่ละฝั่งแต่ละฝ่ายห่างกันมากขึ้น อัลกอริทึมทำให้เราไม่เห็นข้อมูลของอีกฝั่งอีกฝ่าย อย่างรอบด้าน  รวมทั้ง ปฏิบัติการ IO ของหน่วยงานภาครัฐ

 

นโยบายการทูตนำทหารหนุนแก้วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ชินวัฒน์ แม้นเดช ประธานที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรองนายกรัฐมนตรี (ภูมิธรรม เวชยชัย) กล่าวถึงวิกฤติความมั่นคงของชาติ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่

  1. ข้อพิพาทระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่นไทย-กัมพูชา
  2. ความขัดแย้งภายในชาติ ประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน แนวคิดที่ขัดแย้งกันระหว่างอนุรักษ์นิยมและหัวก้าวหน้า ที่ผ่านมาประเทศไทยผ่านวิกฤตินี้หลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35, พฤษภา 53 ทว่าไม่ได้ถอดบทเรียนเพื่อสร้างกลไกแก้ปัญหาความขัดแย้ง และสร้างความสามัคคี
  3. ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ยืดเยื้อเรื้อรัง ต้องสูญเสียงบประมาณมหาศาล ตลอด 22 ปีนั้บตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ซึ่งต้องกลับมาตั้งโจทย์ใหม่ในการแก้ไขปัญหา สร้างนวัตกรรมใหม่ และทิศทางใหม่ในการสร้างสันติภาพ และต้องทำความรู้จัก BRN ให้รอบด้านไม่เพียงแต่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ต้องรู้ถึงใต้ภูเขาน้ำแข็งด้วย

ดังนั้นยุทธศาสตร์สำคัญในการแก้ไขวิกฤตการณ์นี้คือต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ของประชาชนซึ่งมี 7 ประการ

  • การรักษาให้ประเทศอยู่รอดเป็นเอกราช
  • การป้องกันคุ้มครองความมั่นคงของชาติ
  • การส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของส่วนรวม
  • การรักษาและเพิ่มพูนเกียรติภูมิของชาติ
  • การรักษาและขยายอำนาจของชาติ
  • การป้องกันและเผยแพร่อุดมการณ์ของชาติ
  • การส่งเสริมสันติภาพและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาค และในโลก

 

ในการส่งเสริมสันติภาพและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคและโลกนั้น ชินวัฒน์ แม้นเดช กล่าวว่า ต้องใช้นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ชัดเจนและมีเป้าหมาย ด้วยการทูตนำทหาร ดังนั้นกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานร่วมกัน ในการเจรจาระหว่างประเทศ การทูตต้องได้รับการหนุนเสริมจากกระทรวงกลาโหม เพราะการทูตจะแข็งแรงได้ต้องได้รับสนับสนุนจากทหาร

ในกรณีความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ประเทศไทยได้เปรียบกว่าเพราะเป็นสมาชิกในสหประชาชาตินานกว่ากัมพูชา (ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ.2489 ขณะที่กัมพูชาเป็นสมาชิกในพ.ศ. 2498) จึงเป็นที่รู้จักนานกว่า

สำหรับข้อพิพาทเรื่องเขตอำนาจอธิปไตยนั้น ทางออกของวิกฤตนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาสุดท้ายต้องหันมาเจรจากันอย่างสันติ และยอมรับร่วมกัน ให้กลุ่มปราสาทบริเวณชายแดนนั้นเป็นพื้นที่มรดกร่วมกันทางวัฒนธรรม 

สันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้านคือการสร้างความมั่นคงแห่งชาติ

งานเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ งาน Peace Festival Week จัดโดย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องในโอกาส 80 ปี วันสันติภาพไทย เพื่อรำลึกเหตุการณ์วันที่ 16 ส.ค. 2488 ที่ ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธย ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2485 เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและเจตจำนงของประชาชนไทย ต่อมาทางการจึงได้กำหนดให้วันที่ 16 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสันติภาพไทย

จริย์วัฒน์ สันตะบุตร อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน หัวข้อ สันติภาพและความมั่นคงไทยกับความ(ไม่)สัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่า การสร้างสันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความร่วมมือที่จะมีอํานาจต่อรองกับประเทศมหาอํานาจ อีกทั้งประเทศไทยมีประชากรจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก สัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ดังนั้นประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้ด้วย โดยเฉพาะการศึกษา เพราะจะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างยั่งยืน ให้ประชากรกลุ่มนี้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมีส่วนร่วมในการพัฒนาในพื้นที่ชายแดนไทย

กล่าวได้ว่า นโยบายทางการทูตในการสร้างสันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้านนั้นถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงของชาติ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลปรีดี พนมยงค์

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

สถาบันการเมือง

การเลือกวุฒิสมาชิก (สว.) ในปี 2567 เป็นการเลือกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้น แม้ว่าจะมีเจตนารมณ์เพื่อให้มีวุฒิสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมากในเรื่องของกฏกติกาในการเลือกตั้ง เพราะเป็นการเลือกโดยผู้สมัคร

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: