อาชญากรรมที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ การหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ การหลอกโอนเงินผ่าน SMS หรือแอปพลิเคชันปลอม การปลอมแปลงเป็นหน่วยงานรัฐเพื่อหลอกเก็บภาษี หรือแม้แต่การชักชวนให้ลงทุนผ่านแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงโดยเฉพาะ
เหตุที่มีเหยื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรูปแบบของอาชญากรรมได้ปรับตัวจากปัจเจกบุคคลมาสู่องค์กรเครือข่ายที่ใช้เครื่องมือสมัยใหม่และมีความยืดหยุ่นสูง ทำงานระหว่างประเทศและเป็นเครือข่ายซับซ้อน สามารถแทรกซึมในกระบวนการและกลไกของรัฐได้ ทำให้การสืบสวนและการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกัน เหยื่อกลับยังคงเผชิญกับปัญหาเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความล่าช้าในการเยียวยา ระบบการคุ้มครองพยานที่ไม่ครอบคลุม กลายเป็นความท้าทายของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเร่งปรับตัว วิทยาลัยการนิติบัญญัติ สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดสัมมนาวิชาการออนไลน์ “ปกป้องเหยื่อ สกัดเครือข่าย : เสริมพลังการบังคับใช้กฎหมายไทย” เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 68 เพื่อเร่งปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทั้งการปกป้องเยียวยาเหยื่อและสกัดเครือข่ายอาชญากรรมให้ทัน เพราะอาจกล่าวได้ว่ากระบวนการยุติธรรมเริ่มต้นช้ากว่าขบวนการอาชญากรรม
เมื่ออาชญากรรมกลายเป็นองค์กรเครือข่าย ระบบยุติธรรมต้องวิ่งตามให้ทัน
เพราะการที่อาชญากรรมสามารถแทรกซึมกลไกรัฐได้นั้น โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม อาจกล่าวได้ว่า เป็นผลมาจากความเปราะบางของรัฐ ซึ่งทาง คณพล จันทน์หอม รองอธิการบดีด้านกฎหมายและทรัพยากรมนุษย์ กล่าวถึงอาชญากรรมในปัจจุบันว่า ไม่ใช่เรื่องของบุคคลต่อบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นโครงสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อน ใช้เทคโนโลยีและระบบการเงินที่ไร้พรมแดน
แต่ทว่ากระบวนการยุติธรรมไล่ตามอาชญากรรมไม่ทัน เพราะแต่ละหน่วยงานรัฐต่างมีกฎหมายของกำกับหน้าที่ตัวเอง มีฐานข้อมูลของตัวเอง ในขณะที่อาชญากรเขาทำงานเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานไทยยังติดข้อจำกัดเรื่องเขตอำนาจข้ามประเทศ หรือขั้นตอนการขอข้อมูลระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานเกินไป
อีกทั้งกฎหมายและการบังคับใช้ยังไม่มีเครื่องมือที่ไปไกลกว่าการจับปลาซิวปลาสร้อย ยังไม่สามารถตัดวงจรเงินทุน สกัดกั้นเครือข่าย และเข้าถึงตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้
“เครื่องมือทางกฎหมายจึงต้องถูกออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่นและก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องเขตอำนาจศาล หรือความยุ่งยากของพยานหลักฐานทางดิจิทัล ในการทำลายรากแก้วของอาชญากรรมซึ่งก็คือ “เงินทุน” ด้วยการสกัดกั้นเส้นทางการเงิน หากไม่สามารถใช้มาตรการยึดทรัพย์หรือมาตรการทางภาษีมาจัดการกับเครือข่ายเหล่านี้ได้ กระบวนการยุติธรรมจะทำได้เพียงแค่ไล่จับคนปลายแถว ในขณะที่เครือข่ายยังคงอยู่และพร้อมจะสร้างเหยื่อรายใหม่ได้ตลอดเวลา”
ทางด้าน ทศพล ทรรศนพรรณ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย้ำว่า เพราะองค์กรอาชญากรรมมีลักษณะเป็นโครงสร้างแบบใยแมงมุม ไม่มีจุดศูนย์กลางที่ชัดเจนเพียงจุดเดียว แต่มีการกระจายตัวของโหนด (Node) ต่าง ๆ ทั้งโหนดทางการเงิน โหนดทางเทคโนโลยี และโหนดทางการบริหารจัดการ
แต่การจัดการอาชญกรรมที่ผ่านมา กลไกรัฐมักติดอยู่กับการจับกุมตัวบุคคล เช่น จับบัญชีม้า ซึ่งเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะองค์กรอาชญากรรม เสียบัญชีม้าไปบัญชีหนึ่ง เขาก็หาใหม่ได้ใน 5 นาที ดังนั้นการจัดการกับองค์กรแบบนี้ต้องใช้มาตรการ “ทำลายโครงสร้าง” ด้วยการยกระดับกฎหมายขยายผลดำเนินคดี
“ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายที่จัดการกับผู้สนับสนุนทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นคนจัดหาซิม คนเขียนโปรแกรมหลอกลวง หรือแม้แต่คนอำนวยความสะดวกเรื่องที่พักพิง ซึ่งปัจจุบันกฎหมายจัดการกับผู้สนับสนุนการกระทำความผิดอาจจะยังมีช่องโหว่ในการพิสูจน์ความผิดที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่”
สำหรับ ทศพล ทรรศนพรรณ แล้ว ในการจะขยายผลดำเนินคดี ถ้ายังใช้เพียงแค่มาตรการ “พยานหลักฐานในเชิงประจักษ์” ที่ต้องรอจับให้ได้คาหนังคาเขาเพียงอย่างเดียว ก็จะไม่สามารถขยายผลไปได้ไม่ไกล เพราะองค์กรเครือข่ายอาชญกรรมสามารถตัดตอนพยานได้ตลอดเวลา
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำพยานหลักฐานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของข้อมูล (Data Linkage) เข้ามาเป็นพยานหลักฐานหลักในคดีอาญาให้ได้ โดยดูว่าเส้นทางการเงินไหลจากจุดไหนไปจุดไหนบ้าง ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ในปลายทางของเส้นทางนั้น
“แม้ว่าคนนั้นจะไม่ได้เป็นคนกดคีย์บอร์ดหลอกลวงเองก็ตาม แต่ถ้ามีพฤติการณ์ที่เชื่อมโยงและได้รับประโยชน์จากอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง กฎหมายก็จำเป็นต้องขยายขอบเขตความรับผิดให้ไปครอบคลุมคนกลุ่มนี้ให้ได้” ทศพล กล่าว
“อายัดได้แต่คืนเงินเหยื่อยังไม่ได้” คอขวดในกระบวนการยุติธรรม
แม้ว่าปัจจุบันจะมี พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ออกมาช่วยให้ธนาคารสามารถระงับบัญชีได้ชั่วคราว 72 ชั่วโมงทันทีที่ได้รับแจ้ง แต่กลไกนี้เป็นเพียงการ “ระงับ” เส้นทางการเงินเท่านั้น ปัญหาที่ตามมาและยังไม่ได้รับการแก้ไขคือระบบการคืนเงิน
ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหานี้ว่าปัญหาสำคัญจริง ๆ คือ “การคืนเงิน” ยังเป็นคอขวดของกระบวนการ เพราะแม้ตำรวจสามารถอายัดเงินได้ แต่ไม่มีอำนาจสั่งคืนเงินให้ผู้เสียหายได้
เพราะตามระเบียบแล้ว ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดและถูกยึดมาได้ ต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ตามกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผู้เสียหายต้องมายื่นคำร้องผ่าน กระบวนการตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานมากกว่าผู้เสียหายจะได้รับเงินคืน
ทศพล ทรรศนพรรณ กล่าวถึงปัญหาคอขวดนี้ว่า เกิดจากการกฎหมายไปผูกติดกับกระบวนการอาญาที่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด ดังนั้นถ้าต้องรอให้ศาลฎีกาตัดสินใช้เวลา 5 ปี เงินที่อายัดไว้ตอนนั้น อาจจะไม่มีค่า หรือขั้นตอนการคืนเงินมันยากเกินไปสำหรับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ดังนั้นต้องแก้ไขด้วยการสร้าง “ช่องทางพิเศษ” สำหรับการเยียวยาเชิงรุก
“เราต้องกล้าออกแบบกฎหมาย ให้อำนาจหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือ ปปง. สามารถพิจารณาคืนเงินให้ผู้เสียหายได้ทันที หากมีหลักฐานชัดเจนว่าเงินนั้นเป็นเงินของเขา โดยไม่ต้องรอให้จบคดีอาญา แน่นอนว่ามันอาจจะมีข้อโต้แย้งเรื่องสิทธิของผู้กระทำผิด ดังนั้นแต่เราต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของอาชญากรกับความเดือดร้อนของเหยื่อครับ” ทศพล กล่าว

เพราะกฎหมายไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับเหยื่อพอ
ในการสร้างความยุติธรรมที่แท้จริงในกระบวนการยุติธรรมนั้น ไม่ใช่แค่การนำคนทำผิดมารับโทษ เน้นการลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีกลไกปกป้องเหยื่อและการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมด้วย
คณพล จันทน์หอม รองอธิการบดีด้านกฎหมายและทรัพยากรมนุษย์ ตั้งข้อสังเกตถึงระบบกฎหมายอาญาแต่เดิมว่า เน้น “ความเป็นรัฐ” คือการกระทำผิดต่อรัฐ รัฐเป็นผู้เสียหายหลัก แต่ในความเป็นจริงเหยื่อหรือผู้เสียหายที่เป็นมนุษย์จริง ๆ กลับถูกผลักให้เป็นเพียงพยานในคดี หรือเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของกระบวนการความยุติธรรม
ดังนั้นความยุติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเหยื่อยังคงต้องแบกรับความบอบช้ำเพียงลำพัง หรือกระบวนการเยียวยาใช้เวลานานจนเหยื่อหมดหวัง
“เมื่อเหยื่อถูกปฏิบัติให้เป็นเพียง “พยาน” ในคดีเท่านั้น ทำให้เหยื่อต้องมาให้การซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องเผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดในบางครั้ง หรือต้องรอคอยกระบวนการพิจารณาคดีที่ยาวนานหลายปี กว่าจะถึงขั้นตอนการเยียวยา บางครั้งความเสียหายมันลุกลามจนเกินกว่าที่เงินชดเชยจะเยียวยาได้แล้ว” คณพล จันทน์หอม กล่าว
ดังนั้นการขยายขอบเขตของการเยียวยาจึงต้องไปให้ไกลกว่าตัวเงิน เพราะเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายอาชญากรรม โดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ ต่างได้รับความบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง
ระบบกฎหมายอาญาคต้องเร่งบูรณาการการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ ให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีอีกครั้ง
ทางด้าน ทศพล ทรรศนพรรณ การขยายผลไปหาตัวการใหญ่ต้องควบคู่ขนานไปกับกระบวนการเยียวยาเหยื่อ ไม่ใช่รอให้จับตัวการใหญ่ได้ก่อนถึงจะมาพิจารณาเรื่องคืนเงิน เพราะความเดือดร้อนของเหยื่อนั้นรอไม่ได้ และถ้าเราสามารถใช้มาตรการ “ยึดทรัพย์เชิงรุก” ที่ยึดมาได้แล้วมีกระบวนการตรวจสอบสิทธิที่รวดเร็ว และคืนให้เหยื่อได้ทันทีในระหว่างที่การขยายผลคดียังดำเนินอยู่ ตรงนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมในยุคดิจิทัล
“เพราะถ้าประชาชนรู้สึกว่ารัฐปกป้องเขาได้จริง และเยียวยาเขาได้รวดเร็ว ความร่วมมือระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในการแจ้งเบาะแส หรือการให้ข้อมูลเพื่อขยายผลไปหาตัวการใหญ่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
แต่ถ้าตราบใดที่ประชาชนยังรู้สึกว่า แจ้งความไปก็เท่านั้น เงินก็ไม่ได้คืน แถมต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลหลายปี โดยที่เป็นฝ่ายแบกรับภาระอยู่ฝ่ายเดียว สุดท้ายอาชญากรรมพวกนี้ก็จะยิ่งเติบโต เพราะเหยื่อเลือกที่จะเงียบ และอาชญากรก็จะย่ามใจ”
การจัดการทรัพย์สินที่ยึดได้นั้น อยู่ในคลังหรือในบัญชีกลางของรัฐนานเกินไป ภคิน ยี่ภู่ นักวิจัย นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่มาจากการศึกษาวิจัยว่า ควรจะมีระบบที่เรียกว่า “สำนักงานกู้คืนทรัพย์สิน” (Asset Recovery Office) ที่ทำงานเชิงรุก ทันทีที่อายัด ต้องมีกระบวนการประเมินและบริหารจัดการทันที เพื่อไม่ให้ทรัพย์สินนั้นลดมูลค่าลง และต้องมีช่องทางที่ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงข้อมูลของทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ได้ เพื่อที่จะใช้สิทธิในการเรียกร้องขอคืนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ต้องรอเป็นปี ๆ จนลืมไปแล้วว่ายึดอะไรไปได้บ้าง
เช่นเดียวกับ ภาสกร ญี่นาง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เสนอมาตรการเยียวยาเหยื่อในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า หากเป็นการระงับธุรกรรมหรืออายัดทรัพย์สินตามพฤติการณ์อันควรสงสัยที่ได้รับแจ้งจากระบบหรือจากผู้เสียหาย โดยเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ให้ถือว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต และได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจริง ๆ เช่นเดียวกับ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 แต่ต้องขยายให้ครอบคลุมไปถึงขั้นตอน “การคืนเงินเบื้องต้น” ด้วย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากนักวิจัยและนักวิชาการด้านกฎหมาย
ดังนั้นเพื่อยกเครื่องระบบยุติธรรมในการทั้งปกป้องเหยื่อและสกัดเครือข่ายอาชญากรรม มี 3 ขั้นตอนที่ต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่
- ขั้นตอนแรกที่ต้องทำทันทีคือ การตรากฎหมายว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแยกกระบวนการคืนเงินออกจากกระบวนการพิสูจน์ความผิดทางอาญาให้ชัดเจน
- ขั้นตอนที่สองคือ การสร้างศูนย์ฐานข้อมูลกลาง (Centralized Data Hub) ที่เชื่อมโยงธนาคาร ตำรวจ ปปง. และอัยการแบบเรียลไทม์
- ขั้นตอนที่สามคือ การปรับปรุงบทบัญญัติ ความรับผิดของผู้สนับสนุนและตัวกลางของเครือข่ายอาชญากรรม เพื่อสกัดกั้นช่องทางของขบวนการอาชญากรรม เพื่อไม่ให้ขบวนการเหล่านี้เข้าถึงเหยื่อเพิ่มมากขึ้นอีก
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
รุ่งเลิศ คันธจันทร์ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาระบบยุติธรรมในมุมมมองของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าขณะนี้ตำรวจต้องเผชิญข้อจำกัดของ “เขตอำนาจศาล” เพราะส่วนใหญ่แล้ว ตัวการใหญ่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งในการการบังคับใช้กฎหมายนั้น จำเป็นต้องเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ
อีกทั้งตัวการใหญ่ใช้เทคโนโลยีในการอำพรางตัว เช่น VPN หรือใช้ Remote Desktop เข้ามาทำงาน ทำให้การสืบสวนหาตัวจริงทำได้ยาก และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่งใช้เวลานานมาก
รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของระบบเทคโนโลยีและบุคลากร เพราะถ้ามีกฎหมายมาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้มาตรการเชิงรุกได้ หากแต่ระบบฐานข้อมูลของตำรวจกับธนาคาร หรือตำรวจกับ ปปง. ยังไม่เชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์จริง ๆ สุดท้ายก็จะไปติดคอขวดที่ขั้นตอนการทำเอกสารเหมือนเดิม
อีกเรื่องสำคัญคือ การคุ้มครองเจ้าหน้าที่ เพราะการทำงานกับองค์กรอาชญากรรมที่มีเม็ดเงินมหาศาล เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญกับการถูกฟ้องกลับ หรือการถูกอิทธิพลมืดคุกคาม กฎหมายใหม่จึงต้องมีบทบัญญัติที่คุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ทำโดยสุจริตให้ชัดเจนด้วย
นอกจากนี้ รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในการปฏิบัติเยียวยาเหยื่อคืนเงินเหยื่อ หากดำเนินการอย่างรวดเร็ว อาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เช่นการคืนเงินผิดคน หรือยอดเงินผิด ซึ่งพนักงานสอบสวนอาจต้องแบบรับความเสี่ยงเป็นการส่วนตัวในการรับผิดชอบ
เพื่อหาทางออกร่วมกัน รุ่งเลิศเสนอให้มีการก่อตั้ง “ศูนย์สั่งการและจัดการทรัพย์สินแบบเบ็ดเสร็จ” (One-Stop Asset Recovery Center) เป็นหน่วยงานกลางที่เชื่อมตำรวจ ธนาคาร ปปง. และอัยการเข้าด้วยกัน
“เพื่อให้ศูนย์นี้มีอำนาจสั่ง “Freeze” และ “Refund” เงินคืนเหยื่อได้ทันทีในสัดส่วนที่พิสูจน์ได้ เมื่อมีการแจ้งความและตรวจสอบพบพยานหลักฐานดิจิทัลที่ชัดเจน โดยไม่ต้องรอส่งสำนวนผ่านขั้นตอนธุรการแบบเดิม ๆ ถ้าเราทำเงินให้มันไหลกลับได้เร็วเท่ากับที่มันไหลออกไป เชื่อว่าแรงจูงใจในการทำอาชญากรรมประเภทนี้จะลดลงไปเอง”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- รับมืออาชญากรรมออนไลน์ แค่กฎหมายยังไม่พอ
- ข้อมูลคนไทยรั่วไหลง่าย ต้นตอปัญหาสแกมเมอร์
- ช่องโหว่กระบวนการยุติธรรม เปิดช่องอาชญากรรมออนไลน์




