ท่ามกลางสัญญาณยุบสภาฯ ที่ส่อเค้าอาจมาเร็วกว่ากำหนดตามกรอบ MOU เดิม หลายพรรคการเมืองเริ่มปรับตัวเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ในวันที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังครุกรุ่นทั้งจากภัยพิบัติ ความขัดแย้งชายแดน ไปจนถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ยิ่งสาวยิ่งเจอความโยงใยพัวพันซ้อนไปถึงผู้มีอำนาจจนสั่นคลอนเสถียรภาพการเมืองรุนแรง
Policy Watch ชวนคุยกับ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเปรียบเทียบ พรรคการเมืองและระบบการเลือกตั้ง วิเคราะห์ทิศทางการเมือง เพื่อวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อมโยงต่อไปถึงการเลือกตั้งและโจทย์สำคัญอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
Policy Watch: สถานการณ์การเลือกตั้งปี2569 แตกต่างจากปี 2566 อย่างไรบ้าง
สิริพรรณ: การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จริง ๆ แข่งกันด้วยจุดยืนทางการเมืองมาก เช่น สโลแกน “มีเราไม่มีลุง” การเลือกตั้งครั้งปี ’66 คนต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการเมือง เพราะว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามา 9 ปี
แต่ครั้งนี้เนี่ยบรรยากาศทางการเมืองเปลี่ยนไป มันมีความหลากหลายของความเชื่อในจุดยืนทางการเมือง และผลประโยชน์ รวมถึงบรรยากาศที่แนวอนุรักษ์นิยมที่นิยมทหารกลับมา
ดังนั้นในครั้งนี้ เชื่อว่ามันจะมีหลายแนวนโยบายและหลายจุดยืนทางความคิดค่ะ และอาจจะผสมกันระหว่างเรื่องของความรักชาติ ปัญหาชายแดน ปัญหาเศรษฐกิจ และจุดยืนทางการเมือง
แต่นโยบายที่น่าจะชัดเจนคือเรื่องของการปราบคอรัปชัน เรื่องของสแกมเมอร์ซึ่งมันกระทบกับชีวิตของประชาชนและทรัพย์สินของประชาชนโดยตรง แล้วที่สำคัญก็คือเรื่องของปัญหาปากท้องที่จะเป็นหัวใจสำคัญที่คนให้ความสำคัญว่า พรรคไหนขึ้นมาแล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้จริง
ครั้งที่แล้วพรรคประชาชน (พรรคก้าวไกลขณะนั้น) ขึ้นมา ต้องถือว่ามาแบบม้ามืด แซงพรรคเพื่อไทยซึ่งเคยชนะเลือกตั้งติดต่อกันมา 5 ครั้ง แต่ครั้งนี้ถ้าให้มองภาพใหญ่เลย มองว่าการเมืองแบ่งเป็น 2 ข้างแต่ 3 กลุ่ม
Policy Watch: การเมืองแบ่งเป็น 2 ข้างแต่ 3 กลุ่มคืออะไร
สิริพรรณ: สองข้างคือ หนึ่ง ข้างพรรคที่เรียกว่าเป็นเสรีนิยมก็แล้วกัน อีกข้างหนึ่งจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม แต่ทั้งหมดนี้ต้องบอกว่าตราบใดที่เข้าสู่กระบวนการแข่งขันเลือกตั้ง เราก็ยังถือว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่
พรรคฝั่งอนุรักษ์นิยมถ้าจะสังเกตดี ๆ ส่วนมากจะเป็นสีโทนเย็น พรรคเหล่านี้ก็พยายามที่จะรวมกันให้ได้มากที่สุด เพื่อที่หลังเลือกตั้งจะได้ไม่ต้องไปรวมกับพรรคเสรีนิยม ซึ่งก็คือพรรคสีส้มกับสีแดง
Policy Watch: พรรคสีส้มกับสีแดงอยากจะรวมตัวกันไหม?
สิริพรรณ: ประเด็นที่บอกว่า การเมืองแบ่งเป็น 2 ข้างแต่ 3 กลุ่ม ซึ่ง 3 กลุ่มที่ก็ว่าคือ กลุ่มอนุรักษ์นิยมหนึ่งกลุ่ม กลุ่มเสรีนิยมสีแดงกลุ่มหนึ่ง และเสรีนิยมสีส้มอีกกลุ่ม ซึ่งสีแดงกับสีส้มทะเลาะกันเองค่อนข้างเยอะ แล้วดูเหมือนจะประสานกันไม่ค่อยได้
Policy Watch: มีความเป็นไปได้ไหมที่จะมีพรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนเกินครึ่ง
สิริพรรณ: อาจเชื่อได้ว่า จะไม่มีพรรคไหนได้คะแนนเกินครึ่ง และจะไม่มีพรรคไหนคะแนนเกิน 200 ด้วย เลยจำเป็นที่แต่ละพรรคต้องมารวมกัน แนวโน้มจะเป็นไปได้ว่า พรรคภูมิใจไทยจะไปรวมกับน้ำเงินเฉดอื่น ๆ หรือไปรวมกับแดงหรือกับส้ม
เพราะว่า ถ้าเราดูคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล มีที่นั่ง 141 กับ 151 รวมกันได้ประมาณ 58 เปอร์เซ็นต์ ก็หมายความว่าเกินครึ่ง
เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าภายในสองพรรคนี้รวมกับพรรคภูมิใจไทยด้วย เป็นสามพรรค คือ ภูมิใจไทย ประชาชน และ พรรคเพื่อไทย สามพรรครวมกันน่าจะได้ประมาณ 360-380 แล้วที่เหลือก็คือเป็นพรรคอื่น ๆ ไป ดังนั้นถ้าสามพรรคนี้จับขั้วกันเองในสองในสามพรรคนี้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่ว่าในทางปฏิบัติเขาก็จะไปรวมพรรคอื่นมาด้วยเพื่อให้คะแนนเสียงมันสูงกว่าครึ่งหนึ่งไปประมาณถึงสามร้อยเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีงูเห่า แต่ว่าภาพรวมมันจะออกมาเป็นแบบนี้ ทีนี้ประเด็นก็คือว่า ทางฝั่งอนุรักษ์นิยม ถ้าเขารวมกันเองก็อาจจะได้ประมาณ 200 อยู่ที่ว่าเขาจะไปดึงพรรคประชาชนหรือดึงเพื่อไทยมา
Policy Watch: แล้วพรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ไหม
สิริพรรณ: เรื่องนี้เป็นโจทย์ใหญ่ทางการเมืองว่าพรรคอันดับหนึ่งจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ หรือจะเป็นพรรคอื่น ๆ ที่รวมกันแล้วไปดึงอีกพรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาล อันนี้คือสถานการณ์หลังเลือกตั้ง
แต่ว่าตอนนี้ ถึงแม้เราจะคิดว่า อาจจะไม่มีพรรคการเมืองใหม่ที่สามารถดึงคะแนนกลับเข้ามาได้ แต่ตัวที่เป็นหัวใจสำคัญเลยคือ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะคนจะเลือกพรรคไหนดูที่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
เราถึงเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยประกาศเสนอ คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง และคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
เพราะว่าพรรคภูมิใจไทย อย่างที่เราเคยวิจารณ์ไปว่า เขาไม่ได้ต้องการแค่จะอยู่ 4 เดือน แต่เขาต้องการอยู่ 4 ปี แต่จุดอ่อนของภูมิใจไทยที่ผ่านมาคือ การไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนชั้นกลางโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ
การดึงเทคโนแครตที่มีประสบการณ์ ที่กำลังมีคะแนนนิยมขึ้นมา เป็นหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่จะดึงคะแนนนิยม แต่ก็ต้องบอกว่า ถ้ามาเป็นแคนดิเดตอันดับสองอันดับสาม ถ้าเกิดภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลก็ยังเป็น คุณอนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ดีที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
Policy Watch: การเลือกตั้งปี 2569 พอจะทำให้ประชาชนมีความหวังอะไรได้บ้าง
สิริพรรณ: ถ้าพูดถึงความหวัง ต้องบอกว่าคนไทยเวลาเลือกตั้งแต่ละครั้งก็หวังเห็นการเปลี่ยนแปลง จากการทำวิจัยการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (เลือกตั้งปี 2566) เหตุผลหลักในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงยังเป็นเรื่องของความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ (เลือกตั้งปี 2569) ก็ยังอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่
เพียงแต่ว่าความหวังในเลือกตั้งครั้งนี้ มันถูกเจือจางลง เพราะว่าเลือกที่หวังจะเปลี่ยนแปลงแล้ว มันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง คนเลือกแดงก็ยังต้องไปรวมกับฝั่งอนุรักษ์นิยม คนเลือกส้มก็ได้คุณอนุทินมาเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นคนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต้องพิจารณาว่า เลือกพรรคไหนแล้ว ถึงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง
Policy Watch: ทำไมฟังดูแล้วความหวังมันริบหรี่ลงทุกที และการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560
สิริพรรณ: การทำรัฐธรรมนูญจะไปเสร็จเอาในรัฐสภาสมัยหน้า ถ้ามีโอกาสได้ทำนะคะ ดังนั้นความหวังเรื่องเปลี่ยนโครงสร้างระบบการเมืองอาจจะยังไม่เป็นรูปธรรม และไม่ได้เป็นไฟส่องทางในการเลือกตั้งปี 69 แต่จะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ข้อพิพาทชายแดน คอร์รัปชัน และธุรกิจสีเทาหรือสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นประเด็นหลักของการตัดสินใจลงคะแนนเสียง ว่าพรรคไหนจะสามารถแก้ไขได้
Policy Watch: ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กมธ. ร่างธรรมนูญ และ กมธ. รับฟังความคิดเห็น มาจากสูตร “20หยิบ1” ยึดโยงกับประชาชนเพียงพอไหม?
สิริพรรณ: คือต้องบอกว่า การออกแบบสูตร กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ. รับฟังความคิดเห็นอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้ สูตร 20 หยิบ 1 จึงเป็นความพยายามที่จะลดความผูกขาดของเสียงข้างมากในสภา
ประเด็นที่ว่าผู้ร่างฯ จะยึดโยงกับประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่ามันถูกทำให้เจือจางลงไปเยอะ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและนักการเมืองตอนหาเสียงเลือกตั้ง เพราะสภาจะเลือก กมธ. 35 คน ซึ่งยึดโยงกับประชาชนโดยผ่านการเลือก สส.เข้าไป และ สส.จะเป็นคนไปโหวตในกลุ่ม 20 คน ที่จะเลือก กมธ. ซึ่งถือว่ายึดโยงประชาชนที่ค่อนข้างเจือจางและอ่อนไหวมาก
ในประเด็นนี้ พรรคการเมืองในช่วงของการหาเสียง นอกเหนือจากประเด็นทางนโยบายแล้ว อาจจะชูว่าพรรคมีแนวโน้มจะเลือกคนมาเป็น กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญในลักษณะไหน อาจจะไม่ต้องระบุตัวบุคคลก็ได้ แต่ให้เห็นคุณสมบัติบางประการ กลุ่มอาชีพไหน มีคุณสมบัติอะไรบ้าง และทิศทางของรัฐธรรมนูญที่พรรคอยากเห็น ที่ทำให้ประชาชนสามารถเห็นเค้าโครงรางๆ ได้ว่า กมธ. ที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญ จะมีหน้าตาแบบใด
เอาเข้าจริงอย่างพรรคประชาชนบอกว่า จะเสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรีให้ดูเป็นตัวอย่าง แบบนี้ก็อาจจะเอามาใช้ได้เป็นตัวอย่างให้เห็นทิศทางของ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญที่แต่ละพรรคเสนอ อาจจะไม่ต้องระบุตัวบุคคลก็ได้ แต่ระบุว่า ต้องทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นอะไรบ้าง
รูปแบบนี้ก็จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมแล้วก็ยึดโยงกับประชาชนได้มากกว่าการให้สภาฯ เป็นคนตัดสินใจเลือก กมธ. เองหลังการเลือกตั้ง
Policy Watch: สูตร “20 หยิบ 1” ถือว่าส่งผลต่อนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยตรง เพราะที่นั่งในสภายิ่งมาก ก็ยิ่งมีสิทธิเลือก กมธ. ได้มากขึ้น
สิริพรรณ: การหาเสียงประเด็นเรื่องพรรคจะนำเสนอการแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องอะไรบ้าง แล้วก็กรรมาธิการจะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เป็นสิ่งที่เราอยากเห็น และอยากให้ประเด็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ และเวทีดีเบตก่อนเลือกตั้ง
เวลาพรรคการเมืองจะต้องส่งตัวแทนไปดีเบต เรื่องนี้น่าจะเป็นคำถามหนึ่ง และพรรคก็ควรจะต้องมีความชัดเจนว่า ถ้าเลือกพรรคไป พรรคก็จะมีโอกาสที่จะไปเลือก กมธ. มากขึ้น สมมุติว่าได้ 200 ที่นั่งเลย ก็จะได้คณะร่างรัฐธรรมนูญ 10 คนเลย และจะเลือกคนแบบใดมาเป็น กมธ.
ประเด็นนี้ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียง แต่ตอนนี้ยังไม่มั่นใจว่า ประชาชนให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งช่วงหาเสียงก็จะเป็นจังหวะที่จะทำให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมากขึ้น
ถ้าประชาชนสนใจกับการแก้รัฐธรรมนูญ การตัดสินใจเข้าคูหากาพรรคใดพรรคหนึ่งจึงต้องไปดูว่าแต่ละพรรคมีโอกาสจะเลือกกรรมาธิการยกร่างที่มีความคิดแบบใด
ติดตามชมคลิปสัมภาษณ์ “เลือกตั้ง 69” ฉากทัศน์การเมืองจะเปลี่ยนไป : Policy Watch (10 ธ.ค. 68)


