ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 สส. ลงมติยืนยันร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ด้วยคะแนนเสียง 375 เสียง งดออกเสียง 80 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียงหลังจากถูกยับยั้ง 180 วัน เพราะมติในชั้นการพิจารณาของ สส. กับ สว. ไม่ตรงกัน เนื่องจาก สว. มีมติให้ประชามติต้องใช้เสียงข้างมากสองชั้น คือ
- มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง
- มีผลการออกเสียงประชามติเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ
แต่ทางด้าน สส. มีมติให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงเท่านั้น เพื่อให้กลไกในการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวดเร็วขึ้น ทำประชามติ “ผ่าน” ง่ายขึ้น ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถแสดงเจตจำนงได้อย่างตรงไปตรงมา ป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์จากการรณรงค์ไม่ให้ไปใช้สิทธิลงคะแนนประชามติ
ทางด้านภาคประชาชน มูลนิธิไอแพม (IPAM) ได้จัดคาราวาน “ConThai” หรือ “คาราวานรณรงค์รัฐธรรมนูญ” เดินสายจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับประชาชน 77 จังหวัด เกี่ยวกับการเมืองภาครัฐและรัฐธรรมนูญ ที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตปากท้องประชาชนโดยตรง ซึ่งตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เดินทางลงพื้นที่จัดกิจกรรม ในภาคใต้เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ภูเก็ต ปัตตานี นราธิวาส และเดือนมิถุนายนทั่วทั้งภาคตะวันตก
การเคลื่อนไหวร่างรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้เป็นผลพวงมาจาก ในช่วงเวลาหลังเลือกตั้ง 2562 ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทหลายครั้งในการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งสูงสุด รวมถึงวินิจฉัยจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560
- 2567 ตัดสินยุบพรรคก้าวไกล โดย วินิจฉัยว่า มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบ พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปี
- 2567 ตัดสินให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- 2568 มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีผู้กล่าวหาว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจเหนือนิติบัญญัติและบริหาร สามารถตัดสินยุบพรรคการเมือง ตัดสิทธิผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และตัดสินให้นายกรัฐมนตรีและ สส. พ้นตำแหน่ง เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ “รัฐประหาร”
รัฐธรรมนูญ 2560 มรดกคณะรัฐประหาร
เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนาน ว่าทำให้อำนาจอธิปไตยของประชาชนอ่อนแอลง พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะ สว. มีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และไม่ยอมโหวตผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกฯ จากพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่ง สส. มากที่สุดในสภาฯ และที่มาของ สว. ไม่ได้โปร่งใสตรวจสอบได้ อีกทั้งนโยบายสาธารณะของภาครัฐต้องออกแบบให้สอดคล้องกับ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ของ คสช.
ที่ผ่านมามีความพยายามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชน เช่น พรรคประชาชน (พรรคอนาคตใหม่, พรรคก้าวไกล) แม้พรรคจะถูกยุบและตั้งใหม่หลายครั้ง แต่นโยบายร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนยังคงเป็นนโยบายหลัก ซึ่งได้เสนอแนวทางจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และเลือกตั้ง สสร. หลาย ๆ ครั้งในรัฐสภา หากแต่ยังไม่เคยผ่านการพิจารณา
สำหรับพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญและ สรร. ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง และจากคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นวาระเร่งด่วน และประชามติให้ความสำคัญกับประชาชน รวมทั้งคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ต่อรัฐสภา การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและ สสร.เป็นเรื่องเร่งด่วน
ขณะที่ พรรคภูมิใจไทยไม่มีนโยบายร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนหรือ สสร. แต่ไม่แสดงท่าทีต่อต้าน ภายหลังเป็นพรรคร่วมรัฐบาล มติของพรรคภูมิใจไทยเห็นว่าต้องมีการแก้ไขทั้งฉบับและให้มี สสร. เกิดขึ้น ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แต่มีข้อยกเว้นจะต้องไม่แตะต้องหมวด 1 บททั่วไปและหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญ
แต่สำหรับ พรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไม่ได้เป็นนโยบายของพรรคทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญไทยยังเป็นประชาธิปไตยไม่พอ
เนื่องจากรัฐธรรมนูญคือโครงสร้างกฎหมายของรัฐ เป็นกฎหมายสูงสุดและฐานรากในการปฏิรูปกฎหมายอื่น ๆ โดยปรกติเขียนขึ้นโดยมีเป้าหมายหลักคือ เพื่อคุ้มครองเสรีภาพ และหากใช้เกณฑ์สิทธิเสรีภาพเป็นตัวแบ่งประเภทรัฐธรรมนูญ สามารถแบ่งรัฐธรรมนูญทั่วโลกออกเป็น 2 แบบ คือ
- เพื่อปกป้องส่งเสริมอำนาจอธิปไตยของประชาชน ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพที่พึงมี
- เพื่อเป็นเครื่องมือจำกัดบทบาทประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ด้วยเครื่องกลไกต่าง ๆ
มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไทยมีลักษณะเป็นแบบที่ 2 มากกว่า เพราะแม้รัฐธรรมนูญไทยจะมีหลักการ บทบัญญัติ มาตรามากมายเพื่อรับรองสิทธิชั้นพื้นฐาน รับรองอำนาจอธิปไตยของประชาชน แต่ประชาชนไม่สามารถใช้ได้อย่างสมมบูรณ์ในทางปฏิบัติ เพราะเนื้อหา รายละเอียด มีเงื่อนไขข้อยกเว้นในการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ด้วยข้อความกำกวมเช่นเพื่อ “ความสงบเรียบร้อย” หรือ “ความมั่นคง” ที่เอื้อให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลพินิจตีความได้อย่างกว้างขวาง
ดังนั้นรัฐธรรมนูญของไทย จึงเป็นกฎหมายสูงสุดเพียงในเชิงหลักการไม่ใช่ในทางปฏิบัติ เพราะไม่ได้จัดสรรอำนาจอธิปไตยและรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีความหมายเป็นกฎหมายสูงสุดในทุกโอกาส รัฐธรรมนูญจะกลายเป็นกฎหมายสูงสุดในบางวาระโอกาสเท่านั้น เช่นใช้เพื่อยุบพรรคการเมือง หรือตัดสิทธิ์นายกรัฐมนตรี แต่คุณค่าที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนกลับไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
“ในประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการ แต่อยากแสดงออกต่อประชาคมโลกว่า จึงเขียนรัฐธรรมนูญให้ดูเหมือนจะเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาสาระมีลักษณะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือใช้กฎหมายแบบบังคับ เด็ดขาด ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพพลเมือง
รัฐธรรมนูญไทยเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในเป็นเครื่องมือหลักในการรักษาอำนาจระบอบเผด็จการและจำกัดสิทธิเสรีภาพ หรือควบคุมการใช้สิทธิเสรีภาพให้มีน้อยที่สุด เห็นได้จากพรรคการเมืองถูกยุบได้ง่าย ผู้แทนประชาชนถูกตัดสิทธิได้ง่าย ทั้ง ๆ ที่มาจากเสียงของประชาชน ซึ่งเท่ากับว่าริดรอนสิทธิประชาชนอย่างร้ายแรงมาก”
ศาลรัฐธรรมนูญยังจำเป็นไหม หรือจำกัดอำนาจให้น้อยลง
ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่ได้ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่มีการแบ่งอำนาจชัดเจนระหว่างบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่ทำให้อำนาจองค์กรอิสระมีอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลมากในระบบราชการและกระบวนการทางกฎหมาย
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นการลดทอนอำนาจ ทำให้ประชาชนและผู้แทนประชาชนกลายเป็นผู้เยาว์หรือบุคคลไร้ความสามารถไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง ต้องมีองค์กรอิสระเป็นผู้ปกครอง ผู้อนุบาลประชาชน สะท้อนว่าผู้เขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เชื่อว่าประชาชนมีวุฒิภาวะมากพอจึงต้องคุ้มครองประชาชนจากการหลอกลวงของนักการเมือง
มุนินทร์ พงศาปาน กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญว่า องค์กรอิสระก็ถูกตั้งคำถามและไม่เป็นที่เชื่อใจของประชาชนมากขึ้น ไม่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. สตง. กกต. เพราะประชาชนเห็นตัวอย่างจากเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย
“ซึ่งในบรรดาองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญมีปัญหามากที่สุด ถูกตั้งคำถามเรื่องความรับผิดรับชอบ การตรวจสอบความโปร่งใส เพราะสามารถยุบพรรคการเมือง ตัดสิทธิ์นักการเมือง ตีความว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จนคน 9 คนมีอำนาจครอบจักรวาล วินิจฉัยตัดสินทุกการกระทำทางกฎหมายว่าขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ การตัดสินอนาคตประเทศไทยได้มากขนาดนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างมาก และเป็นเรื่องอันตรายมาก”
แม้ว่าองค์กรอิสระเป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญสร้างขึ้นด้วยฉันทามติของประชาชน ที่ต้องการให้ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจนักการเมือง ด้วยความกลัวนักการเมืองว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จจนกลายเป็นเผด็จการรัฐสภา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป องค์กรอิสระขยายขอบเขตอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ศาลรัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองด้วยรัฐธรรมนูญฉบับถัดมา และทำลายเจตจำนงของประชาชน ทำลายความหวังของประชาชนที่ออกไปเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้ถอดบทบัญญัติอำนาจประชาชนในการตรวจสอบถอดถอนศาลรัฐธรรมนูญ หากประชาชนต้องการตรวจสอบต้องไปร้องเรียนที่ ป.ป.ช. แทน
“ในบรรดาทุกเรื่องผมกังวลเรื่องนี้มากที่สุด ผมถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดคือ อำนาจที่มากเกินไปขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่ต้องแก้เฉพาะหน้าเลย ในอนาคต เมื่อสังคมไทยดีขึ้น การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น อาจจะออกแบบให้มีศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งก็ได้ แต่ต้องจำกัดอำนาจ
ในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการหรือระบบประชาธิปไตยออกไปให้เร็วที่สุด แล้วส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ อำนาจของประชาชนให้ได้เร็วที่สุด วิธีการที่เร็วที่สุดง่ายที่สุดก็คือการกำกับองค์กรหรือขจัดอุปสรรคทั้งหลาย”
มุนินทร์ พงศาปาน เสนอว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งต้องเขียนโดยประชาชน เพราะประชาชนเองก็ได้บทเรียนที่ต้องกลับมาทบทวนแล้วว่าควรเขียนรัฐธรรมนูญแบบใดที่เหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของตน ด้วยการกลับไปให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานที่สุดและธรรมดาสามัญที่สุดคืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้แก้ปัญหาทางการเมืองผ่านผู้แทนประชาชน ด้วยระบบรัฐสภา นิติบัญญัติ ที่ประชาชนมีอำนาจตรวจสอบกดดันนักการเมืองให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศเอง รวมทั้งสามารถควบคุมอำนาจตรวจสอบองค์กรอิสระได้ รวมไปถึงรูปแบบการเลือกตั้งต้องออกแบบอย่างธรรมดาสามัญ ไม่มีกลไกหรือสูตรที่ซับซ้อน เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงเจตนาของตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้น การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนต้องเลือกอย่างชัดเจนว่า ใครสำคัญที่สุดในรัฐธรรมนูญ ประชาชนต้องตัดสินว่าศาลรัฐธรรมนูญยังจำเป็นอยู่หรือไม่ หากยังต้องการให้มีอยู่ก็ต้องจำกัดอำนาจให้น้อยลงเพื่อไม่ให้ขัดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน หรือบทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญควรไปอยู่ในองค์กรอื่นแทน หรือกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตีความแต่ไม่มีอำนาจตัดสิน แต่ให้นิติบัญญัติดำเนินการแทน
ในหลายประเทศไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ เช่น สิงคโปร์หรืออังกฤษที่ทำงานพิจารณาการกระทำทางกฎหมายผ่านรัฐสภา ศาลเองพยายามจำกัดบทบาทหน้าที่ให้แคบที่สุดเพื่อไม่ให้ละเมิดอำนาจสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ก้าวล่วงกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา มีหน้าที่เพียงวินิจฉัยแนะนำเท่านั้น ไม่ได้แทรกแซงนิติบัญญัติ ขณะที่เยอรมนีมีศาลรัฐธรรมนูญแต่อำนาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ประเทศไทยพยายามออกแบบรัฐธรรมนูญให้เหมือนกับเยอรมนี ซึ่งที่เยอรมนีก็มีศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน มีอำนาจจำกัด ถูกควบคุมถูกตรวจสอบโดยองค์กรที่มีอำนาจสูงกว่าอีก เช่นศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ วินิจฉัยให้เป็นไปตามกรอบ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ใช้อำนาจแบบด้วยความรับผิดชอบและระมัดระวัง เพราะเป็นองค์กรหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่มีประชาธิปไตยสูงมาก หากใช้อำนาจในเชิงเผด็จการ หรือไม่มีเหตุไม่มีผลจะถูกประณามและตรวจสอบโดยองค์กรอื่นการเมือง มีเขตอำนาจน้อย และไม่มีเรื่องอำนาจตัดสินเรื่องจริยธรรมเหมือนศาลรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งถือว่าไม่มีอำนาจศาลรัฐธรรมนูญประเทศไหนมีกัน ที่เบ็ดเสร็จและกว้างขวางขนาดนี้”
เมื่อเทียบกับประเทศเผด็จการ ศาลรัฐธรรมนูญก็เหมือนกับคณะเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศที่มีอำนาจยกเลิกกฎหมายก็ได้ปลดนักการเมืองก็ได้ ยุบพรรคการเมืองได้” มุนินทร์ พงศาปาน กล่าว
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เนื่องจากเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เช่น ได้เปลี่ยนสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เป็นหน้าที่ของรัฐ และนำสิทธิเสรีภาพมาอยู่ภายใต้ความมั่นคง ทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนอ่อนแอ อีกทั้งได้เปลี่ยนจากรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ให้กลายเป็นรัฐสงเคราะห์ เพราะในมาตรา 47 48 และ 55 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติให้เลือกช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและคนยากคนจน แทนที่จะเป็นสวัสดิการที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอัตลักษณ์
ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า
“รัฐธรรมนูญนั้นต้องเท่ากับ “ราษฎร์ธรรมนูญ” คืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญนั้นเป็นของประชาชน และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญนั้นประชาชนต้องเป็นศูนย์กลาง ซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่ได้มีลักษณะนี้ ไม่ได้เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางอำนาจและการออกแบบนโยบายของรัฐบาล แถมยังเพิ่มอำนาจให้กับกลุ่มนายทุน ขุนศึก ศักดินา ด้วยการอนุญาตให้องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติอยู่เหนือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชน”
ดังนั้นการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่จึงเป็นทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางการเมือง และรื้อฟื้น “ระบบนิติรัฐที่ชัดเจนและเป็นธรรม” กล่าวคือ ให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจำกัดอำนาจรัฐและคุ้มครองประชาชน สร้างกระบวนการยุติธรรมต้องมีความโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ และมีระบบยุติธรรมที่ประชาชนเชื่อถือได้ ทั้งตำรวจ อัยการ และศาลที่เป็นอิสระ จำกัดอำนาจกองทัพ จำกัดอำนาจขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ที่นอกจากไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแล้ว ยังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบ่อนทำลายเสถียรภาพประชาธิปไตย และที่สำคัญรัฐธรรมนูญใหม่ต้องสร้าง “ประชาธิปไตยที่ทันสมัย” กล่าวคือ มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้กับท้องถิ่นในการบริหารจัดการพื้นที่ด้วยตัวเอง สามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้”
ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญต้องมีที่มาที่ชอบธรรม มาจากฉันทามติของประชาชน คือ ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดทั้งกระบวนการเขียน ทั้งนี้เพื่อลดความขัดแย้งในประเทศ อีกทั้งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญต้องมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนเพื่อให้รัฐธรรมนูญมีเสถียรภาพ
ณัชปกร นามเมือง กล่าวถึงกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้ชอบธรรมว่า รัฐธรรมนูญที่ดีนั้นประชาชนต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำคือ
ต้นน้ำ คือ ผู้ที่มาร่างรัฐธรรมนูญควรจะต้องมีความยึดโยงกับประชาชน มีความเป็นตัวแทนของประชาชนที่ครอบคลุมให้มากที่สุด
กลางน้ำ คือ ในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ ไม่ใช่แค่เลือกตัวแทนแล้วจบ แต่จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือ ข้อมูลที่จำเป็นให้ประชาชนเข้าถึง เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทั้งในเชิงพื้นที่ หรือ ในเชิงประเด็น
ปลายน้ำ คือ เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ควรมีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจ ถกเถียง และลงประชามติว่า ประชาชนเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ดังนั้นเบื้องต้นหลักคิดในการออกแบบที่มาและบทบาทของ สสร. คือ 4 D
D แรก คือ Democracy หรือ หลักความเป็นประชาธิปไตย ที่หมายถึง ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีที่มาจากประชาชน ยึดโยงกับประชาชนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันเรื่องความรับผิด-รับชอบให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องรับฟังเสียงของประชาชน
D ที่สอง คือ Diversity หรือ หลักเรื่องความหลากหลาย ดังนั้น สสร. ต้องเปิดกว้างและโอบรับความหลากหลาย ทั้งทางความคิด ความเชื่อ อัตลักษณ์ เพศสภาวะ วัย หรือ ประสบการณ์ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันว่า ในท้ายที่สุดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดฉันทามติและนำไปสู่สันติสุขของทุกคนในสังคม
D ที่สาม คือ Deliberate หรือ การมีส่วนร่วมผ่านการถกแถลงของประชาชน ซึ่งจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ สามารถเข้าถึงกระบวนการได้โดยสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงต้องมีอำนาจในการตัดสินใจ ดังนั้น สสร. ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งคนหาฉันทามติของสังคม และต้องเป็นคนทำให้กระบวนการถกเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์
D สุดท้าย คือ Deliver หมายถึง สสร. ต้องส่งมอบรัฐธรรมนูญใหม่ได้จริง มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและบรรลุประสิทธิผล ซึ่งเรื่องนี้ก็จะสัมพันธ์กับการออกแบบจำนวนของ สสร. และกระบวนการทำงานของ สสร. รวมถึงต้องวางขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ สสร. และกรอบเวลาในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ให้สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้จริงและเป็นที่ยอมรับ
ประชาชนพร้อมเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหว ที่ได้ร่วมคาราวานรณรงค์รัฐธรรมนูญ 77 จังหวัด ของ มูลนิธิไอแพม (IPAM) กล่าวว่า ทุกองคาพยพของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน เช่น สมัชชาคนจน กลุ่มขับเคลื่อนเพื่อการศึกษา กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ กลุ่มเกษตร ประมง ชาติพันธุ์ ความหลากหลายทางเพศ สิทธิชุมชนท้องถิ่น มุ่งตรงไปที่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเขียน เพราะจากการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน พบว่าต่างได้รับผลกระทบจากนโยบายประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งปัญหาคุณภาพชีวิต สิทธิ ปากท้อง
“จากการทำงานพูดคุยและจัดกิจกรรมสนทนากลุ่มกับชาวบ้าน พบว่าประชาชนเข้าใจถึงปัญหาว่ามาจากฝ่ายอำนาจนิยมฉีกรัฐธรรมนูญก็เขียนกติกาใหม่ขึ้นมา พรรคการเมืองอ่อนแอและการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย องค์กรอิสระมีอำนาจมากเกิน และส่งผลให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนอ่อนแอในทุกมิติ รวมไปถึงปัญหาปากท้องไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างได้ และประชาชนก็สนใจที่จะเขียนรัฐธรรมนูญมากขึ้น เพื่อทลายนายทุนผูดขาดและเพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น”
จตุภัทร์ กล่าวอีกว่า ช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา การแก้รัฐธรรมนูญเป็นนโยบายหาเสียงแทบทุกพรรค แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลกลับไม่มีท่าทีที่จะเร่งแก้รัฐธรรมนูญ และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรฝั่งรัฐบาลได้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ในการจัดตั้ง สสร. ซึ่งศาลก็ไม่ได้รีบพิจารณา ก็ยิ่งถ่วงเวลานานไปอีก ซึ่งตอนนี้ประชาชนได้เรียนรู้แล้วว่าโดนพรรคการเมืองใดบ้างหลอกลวง และองค์กรอิสระสร้างปัญหาให้กับประชาธิปไตยอย่างไร
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ออกแบบ สสร.ร่างรัฐธรรมนูญ ของประชาชน
- แก้รัฐธรรมนูญล่ม สังคมโทษใคร?
- เขียนรัฐธรรมนูญใหม่กี่โมง? : สำรวจโจทย์ทั้งเก่าและใหม่เพื่อจะพบว่าไทยยังไม่ได้แก้อะไรเลย