จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ระบุว่า “นโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ โดยรัฐบาลจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภาเพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่ส าคัญของประเทศ เป็นการลงทุนท าให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณของรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาประเทศ
รัฐบาลจะใช้การบริหารในรูปแบบของการกระจายอ านาจ (ผู้ว่า CEO) เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ กล่าวคือ จะมีการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการก าหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อสร้างโอกาสและสร้างประโยชน์ให้ประชาชนเป็นสำคัญ สนับสนุนการจัดการปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด โดยรัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการท างานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลจะสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดสรรทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณและการเลือกตัวแทนของผู้บริหารที่จะเป็นตัวแทนการพัฒนาท้องถิ่นบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระจายทรัพยากรและกระจายอำนาจการบริหารจัดการไปสู่ชุมชน
นอกจากนี้ รัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน โดย
สิ่งที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการแล้ว
แม้ว่าการจัดทำ 'รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน' จะเป็นคำสัญญาของหลายพรรคการเมือง รวมไปถึงพรรครัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย ดังที่ปรากฏในคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร แต่ทุกฝ่ายยังจำเป็นต้องจับตามองการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในการประชุมร่วมของทั้งสองสภาที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้
ท่ามกลางเสียงพูดคุยหนาหูถึงความเป็นไปได้ในการกลับประเทศไทยของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากการรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2557 ประกอบกับข่าวการประกาศกฎอัยการศึกสายฟ้าแลบของ นายยุน ซอก-ยอล ซึ่งตามมาด้วยการลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยสภานิติบัญญัติ
บทความนี้ชวนผู้อ่านมองอุปสรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในไทยจากมุมมองที่กว้างขึ้น กล่าวคือ จากมุมการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ซึ่งเสรีนิยมประชาธิปไตยไม่ได้เป็นบรรทัดฐานทางการเมืองอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสิ่งใดจะมาแทนที่