การพัฒนาทักษะ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ ในการยกระดับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการก้าวเข้าไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป การพัฒนาทักษะแรงงานไทย ยังมีข้อจำกัด และการฝึกอบรมทักษะ ฝีมือแรงงานที่ผ่านมาก็ล้มเหลว
ในงานสัมมนาประจำปีของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้หยิบยกประเด็น“การพัฒนาทักษะและนวัตกรรมสู่โมเดลการพัฒนาใหม่” เพื่อยกระดับประเทศไปสู่การพัฒนาภายใต้โมเดลใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีการพัฒนาทักษะและนวัตกรรม
เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บอกว่า หัวใจการพัฒนาใหม่ด้วยทักษะและเทคโนโลยี เราต้องมีการยกระดับการพัฒนาทักษะและสร้างนวัตกรรม โดยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
- การยกระดับเทคโนโลยีทำได้ โดยการรับเทคโนโลยีจากภายนอก การวิจัย พัฒนาและสร้างนวัตกรรม ต้องมี โมเดล การพัฒนาใหม่ที่สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ สร้าง Good jobs
- ต้องอาศัยความร่วมมือ 3 ฝ่าย แบบ Triple Helix โดยการประสาน 3 พลัง ระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาควิชาการ โดยภาครัฐต้องทำหน้าที่กำหนดกติกา มาตรการสนับสนุน และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนา ภาควิชาการต้องสร้างองค์ความรู้จากการวิจัยที่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ และผลิตกำลังคนที่มีทักษะ ขณะที่ภาคเอกชนนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้จริงเพื่อยกระดับผลิตภาพและการแข่งขันของประเทศ

รัฐ-เอกชนไทย ลงทุนวิจัยน้อย
อยางไรก็ตาม ระบบนวัตกรรมของไทยไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนโมเดลการพัฒนาใหม่ แม้ว่าจะมีตัวอย่างความร่วมมือในบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้านสุขภาพอยู่บ้าง
แต่ก็ยังมีจำนวนไม่มากและยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เช่น เงินลงทุนด้านวิจัยและพัฒนายังอยู่ในระดับต่ำ และการวิจัยที่เกิดขึ้นไม่สามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจหรือเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างเพียงพอ
“ ระบบนวัตกรรมไทยยังไม่รองรับโมเดลการพัฒนาใหม่ เพราะขาดการทำงานแบบ Triple Helix ที่จริงจัง ความร่วมมือทั้ง 3 ส่วนไม่เกิดขึ้น ขณะที่การลงทุนวิจัยน้อย จนไม่สามารถส่งผลกระทบมากพอที่จะเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาใหม่ได้”
หากเปรียบเทียบการลงทุนวิจัยของประเทศไทย พบว่ายังน้อยกว่า มากหลายประเทศในเอเชีย โดยประเทศไทยลงทุนวิจัยเพียง 1.2 % น้อยกว่า สิงค์โปร กับ เกาหลีใต้ จึงน่าเป็นห่วง”
ขณะที่ภาครัฐเองก็ลงทุนวิจัยน้อย เช่นเดียวกับภาคเอกชนลงทุน เพราะขาดเงินทุนและบุคลากร สัดส่วนงบวิจัยของภาคเอกชนจำแนกตามขนาด ( 2562-2566 ) ส่วนใหญ่ กว่า 80 % กระจุกที่ธุรกิจขนาดใหญ่ ,ธุรกิจขนาดกลาง 14 % ,ขนาดเล็ก 6 % ดังนั้นนภาครัฐควรจะส่งเสริมให้เอกชนลงทุนวิจัยมากขึ้น
กฎระเบียบไม่หนุนเอกชนลงทุนวิจัย
อย่างไรก็ตามพบว่า มาตรการสนับสนุน และกฎระเบียบภาครัฐไม่เอื้อต่อลงทุนวิจัย แม้รัฐจะมีมาตรการสนับสนุนด้านภาษี แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น มาตรการลดภาษี นิติบุคคลของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บีโอไอ มีมาตรการลดภาษี 200 % สำหรับ เอสเอ็มอี แต่ต้องมีกำไร ถ้าไม่มีก็ไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้
ส่วนทุนสนับสนุนวิจัยส่วนใหญ่พบว่า ให้งบวิจัยน้อย ไม่ต่อเนื่อง เช่น ทุนวิจัยของ NIAมีทุนสนับสนุนสูงสุด 75 % ของมูลค่าโครงการ ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี แต่มีข้อจำกัดเพราะว่า ทุนวิจัยสนับสนุเป็นแบบปีต่อปีไม่ต่อเนื่อง ไม่ตอบโจทย์ในการทำนวัตกรรมจริงที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยในระยะเวลานาน
ขณะที่ “บีโอไอ”ให้ทุนสนับสนุนสูง 100 ล้านบาท แต่กำหนดเงื่อนไขการลงทุนวิจัยขั้นต่ำ 50 ล้านบาท ทำให้ SMEs ที่อยู่ในโครงการ SME one ID ของ สสว ที่มีงบลงทุน 20 ล้านบาท ไม่สามารถรับการสนับสนุน
นอกจากนี้อุปสรรคที่ทำให้ภาคเอกชนลงทุนวิจัยน้อย มาจาก กฎระเบียบจากภาครัฐในการจัดซื้อ จัดจ้าง ที่เน้นราคาถูก ไม่เน้นการสร้างนวัตกรรม และการขึ้นทะเบียนสินค้าก็ยุ่งยาก จนทำให้เอกชนไม่อยากพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

ทุ่มงบวิจัยพื้นฐานไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
นอกจากความร่วมมือในลักษณะ 3 ประสาน หรือ Triple Helix ไม่เข้มแข็งแล้ว ยังพบว่าปัญหาของระบบนวัตกรรม หรือ งานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
สาเหตุหลักมาจาก งบวิจัยจากภาครัฐกระจุกตัวในการวิจัยพื้นฐาน จะเห็นว่าสัดส่วนงบวิจัยกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ( 2563-2566 ) หากจำแนก ตามระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี หรือ TRL พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งเป็นงานวิจัยพื้นฐาน 43.3 %
ส่วนอีกสาเหตุคือ แรงจูงใจภาควิชาการ โดยภาควิชาการ เน้นการสร้างผลงานตีพิมพ์เป็นหลัก เพราะการขอตำแหน่งทางวิชาการต้องมีงานวิจัย ขาดกลไกส่งต่อผลวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ที่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่ภาคการเมืองไม่เห็นความสำคัญ ไม่มีการเพิ่มงบวิจัย โดยจะเห็นจากการเข้าร่วมประชุม สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว) ซึ่งมีทั้งหมด 18 ครั้ง ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมเพียง 3 ครั้ง รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม 12 ครั้ง
แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว,จะเข้าร่วมประชุม 18 ครั้ง แต่การประชุมวิจัยมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางประเทศ แต่จะเห็นว่าผู้นำสูงสุดของประเทศ ยังไม่เห็นความสำคัญระบบนวัตกรรมของประเทศ
อุตสาหกรรมฮาร์ดิสก์ ความร่วมมือ 3 พลัง
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา มีตัวอย่างความร่วมมือ ที่เรียกว่า 3 พลัง Triple Helix เช่น ตัวอย่างงานวิจัยในอุตสาหกรรมฮาร์ดิสก์ ที่มีความร่วมมือ รัฐ กับเอกชน ภาควิชาการ
ความร่วมมือภายใต้ Talent Mobility ปรับปรุงกระบวรการผลิต พัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ การทดสอบ พัฒนาระบบอัตโนมัติ และบีโอไอให้เงินวิจัย 200 % และความร่วมมือ ภาครัฐ ภาควิชาการจนทำให้ไทยเป็นฐานการผลิต HDD ใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากจีนการส่งออก HDD กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.4 % ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2024
เช่นเดียวกับ ความร่วมมือนวัตกรรสุขภาพ เป็นการนำ AI เข้ามา inspectra AI CXR ถ่ายภาพเอ็กซเรย์ทรวงอก โดย สตาร์ทอัพไทยPerceptra ช่วยระบุความผิดปกติ 8 สภาวะ เช่น วัณโรค แม่นยำกว่า 94 % และลดภาระรังสีแพทย์ได้ 70 % ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลรัฐอีก 100 แห่งนำไปใช้งาน

จุดอ่อนการทำงาน Triple Helix ของไทย
จุดอ่อนการทำงาน 3 พลัง รัฐ เอกชน ภาควิชาการ หรือ Triple Helix คือ ขาดยุทธศาสตร์ และเป้าหมายร่วมกัน โดย ขาดการปรึกษาหารือร่วมกันแบบเข้มข้นและขาดแพลตฟอร์มทำงานเชื่อมโยงร่วมกัน
การสร้าง Triple Helix ที่มีประสิทธิภาพ ปรับภาครัฐให้ความร่วมมือกับเอกชน โดยกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ที่ชัดเจนร่วมกัน สนับสนุนมให้เอกชนรวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และควรสนับสนุนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่องระยะยาว แก้ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรค
เสนอตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
การสร้าง Triple Helix ควรจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่เป็นหน่วยงานกลาง เพื่อปรับบทบาทมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย และสร้าง KPI ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นกับการวิจัยเชิงพาณิชย์ การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา
“ สิ่งที ค่อนข้างชัดเจนในการพัฒนา นวัตรกรรมในต่างประเทศ คือ ไม่มีประเทศไหนที่สามารถพัฒนา นวัตกรรมได้ดี โดยไม่มีการตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม”
พัฒนาทักษะ ยกระดับนวัตกรรม สู่ Good Jobs
การปฏิรูปนวัตกรรม พัฒนาทักษะเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Good Jobs เพราะว่างานดีๆจะเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่สร้างนวัตกรราม แต่ต้องนำไปใช้ในภาคเอกชน ลงทุนพัฒนาทักษะ ความรู้ ให้ทันเทคโนโลยีใหม่
“ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์” นักวิจัยอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า เป้าหมายในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ คือ การสร้าง Good Jobs ซึ่งจะสร้างได้ต้องมีการขยายฐานอุตสาหกรรม ใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพราะถ้าเรามีเทคโนโลยีอย่างเดียว ไม่มีการพัฒนาเทคนิคกำลังคนจะเพิ่มระดับอุตสาหกรรมในประเทศไม่ได้ เช่นเดียวกับถ้าเราทำพัฒนาทักษะอย่างเดียวไม่ลงทุนเทคโนโลยี ก็ไม่สามารถนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานไทยพบว่าล้มเหลว ไม่สามารถยกระดับพัฒนาทักษะแรงงานได้ เพราะแยกส่วนการอบรมทักษะ ออกจากการพัฒนาเทคโนโลยี
รัฐล้มเหลว ยกระดับทักษะ-นวัตกรรม
แม้ว่าการพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือ การฝึกอบรม ในข่ายบังคับ ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมฝีมือแรงงาน (2565-2566 ) แต่ก็ไม่สามารถยกระดับการพัฒนาฝีมือแรงงานได้จริง
“มาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานยังล้มเหลว โดยพบว่ากว่า 99.6% ของบริษัท จัดฝึกอบรมให้ลูกจ้างเพียงเพื่อทำตามกฎหมายและไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเท่านั้น ไม่ได้เน้นการพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่”
การยกระดับทักษะเทคโนโลยีถ้าภาคเอกชน และภาควิชาการไม่ได้ร่วมมือกันจะเกิดปัญหา 2 อย่าง คือ ภาควิชาการไม่รู้ความต้องการของภาคเอกชน ทำให้การพัฒนาทักษะกำลังคน ไม่ตรงกับความต้องการด้านเทคโนโลยี
และหลักสูตรที่เอามาสอนก็เป็นการสอนตามตำรา มีโอกาสล้าสมัยเร็วมาก เพราะไม่สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมได้ทัน จึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการภาคเอกชนได้
ปัญหาที่สอง ขณะที่ทักษะทางวิชาการเกิดในเฉพาะวงวิชาการ แต่องค์ความรู้ในเชิงปฏิบัติ เช่น ทักษะจะเกิดในภาคเอกชน ถ้าวิชาการและเอกชน ไม่เชื่อมต่อระหว่างกันเพื่อให้เข้าถึงองค์ความรู้ของแต่ละฝ่าย จะส่งผลให้การผลิตกำลังคน ไม่มีทักษะที่ภาคเอกชนเอาไปใช้ได้
“ตราบใดที่เทคโนโลยีใหม่ไม่ถูกนำไปใช้เพราะคนขาดทักษะ และตราบใดที่การพัฒนาทักษะไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องไป ประเทศไทยก็จะไม่สามารถยกระดับผลิตภาพและสร้างงานดีมีรายได้สูงได้ ทางออกจึงต้องมุ่งเป้าไปที่การสร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชนกับภาควิชาการอย่างใกล้ชิด โดยมีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนหลัก”
ทีดีอาร์ไอ เสนอแนวทางปฏิรูปทักษะคู่เทคโนโลยี ผ่าน 2 กลไกสำคัญ คือ
- การสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาร่วมมือกับภาควิชาการในการผลิตกำลังคน และทำวิจัยที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมจริง พร้อมทั้งปรับ KPI และจัดสรรงบประมาณเพื่อจูงใจภาคการศึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชนมากขึ้น
- ชุบชีวิตสถาบันเฉพาะทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้กลับมามีบทบาททำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของอุตสาหกรรมเข้ากับภาควิชาการ เพื่อสร้างระบบที่การพัฒนานวัตกรรมและการพัฒนาทักษะเกิดขึ้นควบคู่กัน
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




