การประชุม กมธ. วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. ในชั้น สว. ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 68 ได้มี สว. เสนอขอแปรญัตติ 4 คน ดังนี้
- เปรมศักดิ์ เพียยุระ ขอแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติม ในมาตรา 6 และ บัญชีแนบท้ายความผิดที่จะได้รับการนิรโทษ มีสาระสำคัญดังนี้
-
- ให้รวมความผิดหรือผู้ถูกหาว่ากระทำความผิดจากการแสดงตนฝักใฝ่ทางการเมือง และถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ในลักษณะถูกฟ้องร้องหลังเกิดเหตุแล้วเกิน 10 ปี หรือมีการไต่สวนคดีเกิน 2 ปี หรือฟ้องคดีเกิน 3 ปี หรืออัยการไม่สั่งฟ้องหรือไม่เป็นโจทย์ฟ้องคดี
- เพิ่มการนิรโทษความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยเฉพาะที่ไม่ใช่การใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้าง การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือการใช้วัสดุอุปกรณ์ของรัฐ
- นิรโทษความผิดที่เกิดจากคำสั่งหรือประกาศของ คสช. ที่รัฐประหารในปี 2557 และ คปค. ที่รัฐประหารในปี 2549
- อังคณา นีละไพจิตร ขอแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 3 และ 12 มีสาระสำคัญดังนี้
-
- ให้นิรโทษการกระทำความผิดในคดีอาญามาตรา 112 เฉพาะกรณีผู้กระทำความผิด มีอายุไม่เกิน 18 ปี ในขณะที่กระทำความผิด
- คณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุข (กก.สันติสุข) ต้องดำเนินการตามกฎหมายนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน (จากเดิม 180 วัน) หากไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ สามารถขยายเวลา ออกไปไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 60 วัน (จากเดิม 90 วัน)
- ปริญญา วงษ์เชิดขวัญ ขอแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมในหลายมาตรา มีสาระสำคัญดังนี้
-
- หาก กก.สันติสุข เห็นว่าการกระทำความผิดมาตรา 112 นั้นมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองโดยสุจริต และมิได้มีเจตนาดูหมิ่น อาฆาต หรือแสดงความเกลียดชังฯ โดยให้กก.สันติสุข แต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาแยกเป็นรายกรณี และต้องมีความเห็นชอบร่วมกันของผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้แทนศาลยุติธรรม ก่อนมีมติให้ได้รับนิรโทษกรรม
- แม้ กก.สันติสุข จะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งให้ถือว่าเป็นที่สุดและมีผลผูกพันต่อหน่วยงานของรัฐในกระบวนการยุติธรรมต้องรับไปดำเนินการ แต่ไม่ตัดสิทธิในการอุทธรณ์ ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
- เพิ่มหน้าที่ กก.สันติสุข ให้ติดตามและรายงานผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม หากพบการกระทำซ้ำ ให้เสนออัยการพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว หากภายหลังกระทำซ้ำในลักษณะเดียวกับที่ได้นิรโทษกรรม หรือการกระทำที่มีมูลเหตุทางการเมือง ในลักษณะก่อให้เกิดความไม่สงบภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ได้รับนิรโทษกรรมให้ถือว่านิรโทษกรรมของผู้นั้นสิ้นผล และให้คืนสิทธิการดำเนินคดีแก่พนักงานสอบสวนพนักงานอัยการ หรือศาล ตามที่เห็นสมควรโดยไม่ต้องมีคำวินิจฉัยของ กก.สันติสุข สังคมสันติสุขอีก ซึ่งเท่ากับว่าเป็นนิรโทษกรรมอย่างมีเงื่อนไข
- รัชนีกร ทองทิพย์ ขอแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมในหลายมาตรา มีสาระสำคัญดังนี้
-
- นิรโทษกรรมผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองหรือแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 48 – 20 มี.ค. 66 ซึ่งเป็นวันยุบสภาของนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา (จากเดิมถึงวันที่ 16 ก.ค. 68 ซึ่งเป็นวันที่สภาเริ่มพิจารณาร่างกฎหมายนี้)
- ใน กก.สันติสุข ให้มีผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมาย หรือด้านสิทธิมนุษยชน หรือด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม กมธ.วิสามัญกิจการวุฒิสภา จำนวน 1 คน เป็นกรรมการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการความขัดแย้งและอำนวยความยุติธรรมเป็นที่ประจักษ์ในองค์กรภาคประชาสังคมซึ่งประธานวุฒิสภาเสนอ จำนวน 1 คน เป็นกรรมการ
- นิรโทษกรรมบุคคลอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ในขณะที่เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง หรือแสดงออกทางการเมือง อันมีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือแรงจูงใจทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 48 – 20 มี.ค. 66
- ไม่นิรโทษความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางแพ่งแก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรัฐวิสาหกิจที่ได้รับความเสียหาย สามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้
- ผู้กระทำความผิดอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ในขณะกระทำความผิด ให้ กก.สันติสุข จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ส่งอัยการใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดี
- ตัดความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในบัญชีแนบท้ายออกเป็นจำนวนมาก เช่น ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร กบฏ ก่อการร้าย ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและแต่งตั้ง สว. ความผิดตาม พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ
- เหลือเพียง 13 ความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรม จาก 42 ความผิดในบัญชีแนบท้าย เช่น ความผิดตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม 2498 พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ 2550 พ.ร.บ. ธง พ.ศ. 2522 ความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามกฎหมายอาญา
ลดระยะเวลาพิจารณานิรโทษกรรมเพื่อความยุติธรรม
สำหรับคำขอแปรญัตติ ลดระยะเวลาการพิจารณาคดีของคณะกรรมการฯ ให้แล้วเสร็จอย่างช้ามากที่สุด 240 วัน จากเดิม 360 วัน อังคณา นีละไพจิตร สว. ผู้ขอแปรญัตตินี้กล่าวกับ Policy Watch ว่า หากคำนวณตามระยะเวลาเดิมเท่ากับกระบวนการนิรโทษกรรมใช้เวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งสำหรับผู้ถูกดำเนินคดีไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เพราะมีหลายคนจากการชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 ถูกยึดทรัพย์ ไม่เพียงผู้ถูกดำเนินคดีจะเดือดร้อน แต่รวมไปถึงครอบครัวของผู้ถูกดำเนินคดีด้วย
อีกทั้ง แต่ละคดีต่างมีข้อมูลเพียงพอระดับหนึ่งแล้ว และการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมได้ผ่านการศึกษาพิจารณามาแล้ว อีกทั้งคณะกรรมการฯ สามารถตั้งอนุกรรมการมาพิจารณาในรายละเอียดได้ กระบวนการนิรโทษกรรมจึงไม่จำเป็นต้องนาน ในการแปรญัตติครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นการรักษากระบวนการยุติธรรม เพราะว่ากระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม
เหตุผลนิรโทษกรรมมาตรา 112
คดีการเมืองความผิดมาตรา 112 ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณาและเป็นอีกสาระสำคัญของการแปรญัตติ ซึ่ง อังคณา นีละไพจิตร กล่าวถึงการแปรญัตติครั้งนี้ว่า
“ในการอภิปรายวาระ 1 ของชั้น สว. กรณีนิรโทษกรรมการกระทำความผิดคดีอาญามาตรา 112 เฉพาะผู้กระทำความผิดขณะที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี ยังไม่มีเสียงของ สว. ออกมาคัดค้าน แต่ยังคาดเดาได้ยากว่าการแปรญญัตินี้จะสำเร็จหรือไม่
คดีมาตรานี้ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับนิรโทษกรรม เพราะตอนที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รับเรื่องร้องเรียนตลอดที่มีการชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการชุมนุมช่วงปี 2562 และจากที่ได้ไปเป็นผู้สังเกตการณ์ในหลายการชุมนุม มีโอกาสไปเยี่ยมผู้ที่ถูกควบคุมตัว และไปร่วมฟังการพิจารณาคดีในศาล พบว่าหลายคดี มันไม่ควรที่จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลด้วยซ้ำไป หลายคดีเป็นการฟ้องกลั่นแกล้ง
แม้ว่าคดีมาตรา 112 หลายคดีได้รับการยกฟ้อง แต่ในระหว่างทางที่ต้องสู้คดีหลายปี หลายคนไม่ได้ประกันตัว ทำให้เสียโอกาสในการศึกษาเล่าเรียน การทำงาน การอยู่กับครอบครัว และต้องเสียสุขภาพจิตต้องขึ้นศาล ต้องไปรับฟังคำปรักปรำ และในแต่ละกระบวนการก็มีค่าใช้จ่าย หลายคนต้องลางาน ลาเรียน เสียค่าเดินทาง
และแม้ว่า ในปี 2560 ทางการไทยเคยไปรายงานตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกับสหประชาชาติว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 มีคณะกรรมการทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองว่าสมควรส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้อง แต่เอาเข้าจริงแทบทุกคดีไม่ได้ผ่านคณะกรรมการที่กล่าวอ้างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมจะต้องนิรโทษคดีมาตรา 112 ด้วย”
เพราะอย่างไรก็ตาม การนิรโทษกรรมของคณะกรรมการฯ ต้องอยู่บนหลักการ “ไม่ทำให้เกิดอันตราย” (Do no harm) ที่จะไม่นิรโทษกรรมกรณีของการทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ การใช้พูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง ความรุนแรง ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือ “hate speech” ในการพิจารณา นิรโทษกรรมมาตรา 112 ก็ย่อมสามารถพิจารณาเป็นราย ๆ ไปได้
เช่นเดียวกับ ปริญญา วงษ์เชิดขวัญ ที่ขอแปรญัตติให้คณะกรรมการสร้างเสริมฯ แต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณาคดีมาตรา 112 แยกเป็นรายคดี โดยไม่จำกัดอายุผู้ถูกดำเนินคดี โดยให้เหตุผลว่า หลายคดีนี้มักเป็นการเหมารวมว่า เป็นการดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท
ดังนั้นจะต้องแยกพิจารณาว่า ผู้ถูกดำเนินคดีมีหรือไม่มีเจตนาดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายจริงหรือไม่ ถ้ามีเจตนาอาฆาตมาดร้ายจริงๆ ก็ไม่สมควรได้นิรโทษกรรม แต่ในกรณีที่ไม่ได้มีเจตนาอาฆาตมาดร้าย หรือมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองโดยสุจริต ก็ไม่สมควรถูกเหมารวมไปด้วย เช่น การขึ้นเวทีปราศรัยของ อานนท์ นำภา สมควรได้รับการพิจารณาเพื่อนิรโทษกรรม
สำหรับบทบาทหน้าที่และสัดส่วนของอนุกรรมการฯ ปริญญา กล่าวกับทาง Policy Watch ว่า คณะกรรมการเสริมสร้างสันติสุข เป็นผู้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมา ซึ่งอนุกรรมการอาจจะต้องมีสัดส่วนของภาคการเมืองด้วย เนื่องจากร่าง พ.ร.บ. นี้ถือเป็นเรื่องการเมืองแก้การเมือง การตั้งอนุกรรมการก็ถือเป็นการใช้การเมืองแก้การเมือง
และมีหน้าที่รับเรื่องพิจารณาโดยตรง ไม่ได้มีหน้าที่ชี้มูลความผิด ซึ่งอาจไม่ต้องใช้หลักฐานเดิมในการดำเนินคดีตั้งแต่แรก และไม่ต้องเชิญศาลหรืออัยการมาเป็นอนุกรรมการ เพราะถ้าเชิญมา ก็ไม่จำเป็นต้องมีอนุกรรมการนี้แต่แรก หากอนุกรรมการเห็นว่า เจตนาและหลักฐานของการกระทำความผิดนั้นไม่ชัดเจนก็สามารถนิรโทษกรรมได้”
อย่างไรก็ตาม ในการนิรโทษความผิดมาตรา 112 จะเป็นนิรโทษกรรมอย่างมีเงื่อนไข ว่าจะไม่กระทำซ้ำ และยังสามารถอุทธรณ์ได้ หากพบหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมนั้น มีเจตนาดูหมิ่น อาฆาต หรือแสดงความเกลียดชังจริง ๆ ก็จะมีการพิจารณาคดีอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้กระทำอีก โดยเฉพาะนิรโทษกรรมความผิดมาตรา 112
เสริมสร้างสันติสุขท่ามกลางนิติสงคราม
ตามชื่อกฎหมาย “เสริมสร้างสังคมสันติสุข” ที่เป็นการนิรโทษผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง อันเป็นชื่อดั้งเดิมของกฎหมาย อังคณา นีละไพจิตร ตั้งข้อสังเกตว่า
“ตอนที่ไปเป็นกรรมาธิการศึกษาในเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ตอนนั้นก็ใช้ชื่อ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ไม่ได้ใช้ชื่อเสริมสร้างสังคมสันติสุข เพราะการนิรโทษกรรมคือการยกเว้นโทษให้เสมอว่าไม่ได้กระทำความผิด การใช้ชื่อนิรโทษกรรมโดยตรง ย่อมสอดคล้องกับจุดประสงค์ของกฎหมายมากกว่า
และเท่าที่สังเกตดูความผิดในหลายกรณีในช่วงที่ผ่านมา เป็นการใช้กฎหมายเพื่อคุกคาม กลั่นแกล้ง หรือเพื่อปิดปาก กลายเป็นการใช้กฎหมายที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อสันติวิธีเสมอไป กลายเป็นการใช้กฎหมายเพื่อให้คนที่ถูกร้องเกิดความยุ่งยากลำบากในชีวิต ในการยืนยันความบริสุทธิ์
และทำให้หลายคนต้องติดคุก ไม่ได้รับประกันตัว สุดท้ายแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง และได้รับเงินชดใช้เยียวยาเป็นจำนวนเท่ากับที่คุณเสียสูญเสียอิสรภาพ แต่มันทดแทนกันไม่ได้ ขอโทษนะคะ มันทดแทนกันไม่ได้จริงๆ ดังนั้น เพื่อสร้างสันติสุขอย่างแท้จริง รัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการยุติการใช้กฎหมายเพื่อคุกคาม ปิดปาก กลั่นแกล้ง”
สำหรับ อังคณา สันติสุขที่แท้จริงคือการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย รัฐบาลควรให้ความสำคัญมาก ๆ ก็คือการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีความคิดเห็นเหมือนกันหมด ความหลากหลายถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก และเกิดมาพร้อมกับความแตกต่างและเสรีภาพ ซึ่งเราก็ต้องอยู่กับความหลากหลายบนพื้นฐานความเคารพซึ่งกันและกัน จะถูกจะผิดสามารถถกเถียงกันก็ได้ แต่จะต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายได้รับอันตรายหรือเสื่อมเสียโดยตรง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการสร้างสันติสุขที่แท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




