จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน วันที่ 20 ต.ค. 2568 พบว่าจำนวนผู้ต้องขังทางการเมืองมีมากกว่า 57 คน ในจำนวนนี้เป็นคดีอาญามาตรา 112 จำนวน 30 คน คดีอาญามาตรา 110 จำนวน 5 คน มีผู้ต้องขังในความผิดต่อชีวิต จำนวน 9 คน (คดีชุมนุมของคนเสื้อแดงจำนวน 4 คน คดีชุมนุมหลังปี 2563 จำนวน 5 คน)
อีกทั้งในคดีมาตรา 112 ที่ยังไม่สิ้นสุดและจำเลยไม่ได้ถูกคุมขังมีอย่างน้อย 176 คดี ซึ่งถือว่าเสี่ยงต่อการถูกคุมขังเพิ่มขึ้น หลังการชุมนุมทางการเมืองปี 2563 เป็นต้นมา ที่เยาวชนคนรุ่นใหม่รวมตัวกันเคลื่อนไหวและแสดงออกทางการเมือง ส่งผลให้มีผู้ถูกดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 เพิ่มสูงขึ้น อย่างน้อย 284 คน ในจำนวนนี้ผู้ถูกดำเนินคดีนี้เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 20 คน ส่งผลให้การนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองในมาตรา 112 เป็นที่พูดถึง
นิรโทษกรรมแบบเลือกปฏิบัติ?
นิรโทษกรรมเกิดขึ้นเรื่อยมาในการเมืองไทย อย่างน้อย 23 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นการนิรโทษกรรมให้คณะรัฐประหารหลังยึดอำนาจ มีเพียง 3 ครั้งที่เป็นการนิรโทษกรรมประชาชน ได้แก่
- พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนี่ยงกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 พ.ศ. 2516 (ฉบับ 14 ตุลา)
- พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ. 2521 (ฉบับ 6 ตุลา)
- พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พ.ศ. 2535 (ฉบับพฤษภา 35)
กระทั่งในปี 2566 พรรคก้าวไกล (ชื่อพรรคในขณะที่เสนอร่าง) เสนอ ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …. ต่อมาในปี 2567 ภาคประชาชนจำนวน 36,723 คน รวมตัวเป็น “เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน” เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เข้าสู่สภาฯ จากนั้นจึงนำไปสู่การเสนอร่างนิรโทษกรรมโดยพรรคการเมืองอื่น ๆ ตามมา รวมเป็น 5 ฉบับ ซึ่งได้รับการพิจารณาร่วมกันในสภาวาระแรก เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 และผ่านในวาระ 2 และ 3 เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา
จากนิรโทษกรรม สู่ “สร้างเสริมสังคมสันติสุข”
ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ถูกเสนอเข้าสู่สภามีทั้งหมด 5 ฉบับ โดยพรรคครูไทยเพื่อประชาชน, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคก้าวไกล( ต่อมาคือ พรรคประชาชน), พรรคภูมิใจไทย, และภาคประชาชน “เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน”
แต่สภามีมติรับหลักการเพียง 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับของพรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน, และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทั้งสามฉบับนี้ใช้คำว่า“สร้างเสริมสังคมสันติสุข” แทน “นิรโทษกรรม” ทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมมีชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุข โดยมีร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นร่างหลัก อย่างไรก็ตาม สังคมยังคุ้นชินกับคำว่า “นิรโทษกรรม” มากกว่า
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ร่างของภาคประชาชนไม่ถูกโหวตรับมาตั้งแต่วาระแรกของชั้น สส. ทำให้หลักการสำคัญที่จะทำให้การนิรโทษกรรมครอบคลุมทุกคดีการเมืองหายไป และสัดส่วนใน กมธ.ที่จะต้องมี 1 ใน 3 ที่เป็นตัวแทนสัดส่วนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.จึงหายไปด้วยในการพิจารณาของชั้น กมธ.
ร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุขในชั้น สว.
ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขผ่านการพิจารณาวาระ 3 ในชั้น สส. แล้ว อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา หาก สว. พิจารณาไม่แล้วเสร็จภายใน 60 วัน จะถือว่า สว. ได้เห็นชอบร่างกฎหมายนั้นแล้วตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 ม.ค.69
เนื่องจากช่วงปิดสมัยประชุมตั้งแต่ 31 ต.ค.-11 ธ.ค.นั้น ไม่นับเป็นวันพิจารณา ร่างกฎหมายนี้จึงเป็นเรื่องด่วนในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 28 ต.ค. 68 ซึ่งที่ประชุมลงมติรับร่างนี้ไว้พิจารณาและมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญประชุมในวันที่ 30 ต.ค.
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา และ กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุข กล่าวกับ Policy Watch ว่า ใน กมธ. ยังคงดำเนินการโดย สว. เสียงข้างมากเป็นหลัก ตำแหน่งสำคัญประธาน รองประธาน เลขานุการและโฆษก กมธ. เป็น สว. เสียงข้างมาก มีรองประธานคนที่ 3 เป็น สว. เสียงข้างน้อย
“สำหรับผม เป็นเพียง สว. เสียงส่วนน้อย หากพิจารณาใน กมธ. แล้ว มี สว. ที่เป็นเสียงส่วนน้อยอยู่ 5 คน จาก ครม. 4 คน และจากเสียงส่วนใหญ่ 12 คน อาจเรียกได้ว่าเสียงส่วนน้อยไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินมติของ กมธ. หากจะเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างเพื่อให้เกิดการครอบคลุมมากขึ้นก็ยากกว่า กมธ.ฝั่ง สส.ที่มีตัวแทนพรรคใหญ่ 2 พรรคที่ดูเหมือนเคยมีจุดยืนอยากขยายการนิรโทษกรรมที่ครอบคลุมแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ ส่วนฝั่ง สว. หากจะทำก็ทำได้เพียงสงวนความเห็นเป็น กมธ.เสียงข้างน้อย และเมื่อไปพิจารณารายมาตราในวุฒิสภาวาระ 2 ก็ไม่น่าจะผ่านมติอยู่ดี”
เทวฤทธิ์ มณีฉาย ตั้งข้อสังเกตถึงการผ่านกฎหมายนี้ว่า มีข้อคำนึงถึงปฏิทินทางการเมืองที่รัฐบาลเคยแถลงว่าจะยุบสภาฯ ในวันที่ 31 ม.ค. 69 หากไม่เร่งให้พิจารณาแล้วเสร็จหรือต่ออายุเกิน 60 วันในการพิจารณาก็จะไม่ทันยุบสภาฯ ซึ่งก็อาจจะทำให้ร่าง พ.ร.บ.นี้อาจสะดุดลงหากรัฐบาลใหม่ไม่มาขอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อภายใน 60 วันหลังประชุมสภาครั้งแรกที่มีการเลือกตั้ง
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สร้างข้อกังวลของ กมธ. ในการทำงานไม่น้อย เพราะนอกจากเรื่องทันเวลาแล้ว หากมีการแก้ไขจากวุฒิสภาในส่วนที่เป็นประเด็นสาระสำคัญและหาก สส. ไม่เห็นด้วยก็ต้องตั้ง กมธ.ร่วมของ 2 สภาเพื่อพิจารณาซึ่งจะไม่ทันกรอบการยุบสภาของรัฐบาลแน่นอน
เสริมสร้างสันติสุขแบบใด?
ร่างกฎหมายสร้างเสริมสันติสุขต้องการที่จะลดความขัดแย้ง สร้างสามัคคี เพื่อนำไปสู่สังคมสันติสุข ผ่านการนิรโทษกรรม ยุติการดำเนินคดี และล้างมลทินให้กับผู้กระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง ในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งสภาฯได้ผ่านร่างนิรโทษกรรม-สร้างเสริมสันติสุข ในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 แล้ว โดยมีสาระเนื้อหาดังนี้
- กรอบเวลาการนิรโทษกรรมครอบคลุมตั้งแต่ 2548 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเริ่มชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง ก่อนการรัฐประหารปี 2549 ถึงวันที่ 16 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันที่สภาฯ มีมติรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ
- ร่างนี้มีบัญชีฐานความผิดแนบท้าย กำหนดฐานความผิดที่เป็นคดีสำคัญทางการเมือง 42 ฐาน เช่น คดีกบฏตามกฎหมายอาญา ม. 113, ยุยงปลุกปั่นตาม ม. 116, ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 124, ความผิดตาม พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และ สว. ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้ง การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม และคุณสมบัติอันเป็นเท็จ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559, ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ, ความผิดตามประกาศและคำสั่งของคสช.ความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งคดีเหล่านี้จะได้รับการนิรโทษ
แม้การแนบบัญชีความผิดท้ายกฎหมายนี้ เป็นการระบุฐานความผิดชัดเจนซึ่งจะช่วยลดการใช้ดุลพินิจลง แต่อาจนำไปสู่นิรโทษกรรมที่ตกหล่น เพราะอาจมีคดีที่มีฐานความผิดอื่นอีก หรือความผิดอื่นที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง แต่ไม่ถูกระบุในบัญชีแนบท้าย
และในคดีการเมืองจำนวนมาก ผู้ถูกดำเนินคดีการเมืองคนหนึ่ง อาจถูกข้อหาจำนวนมาก แต่อาจไม่ได้รับนิรโทษกรรมทั้งหมดทุกข้อกล่าวหา เพราะอาจมีบางความผิดที่ไม่ถูกระบุในบัญชีแนบท้าย กลายเป็นการลักลั่นในการนิรโทษกรรม
- ตามบัญชีฐานความผิดแนบท้ายที่จะได้นิรโทษกรรม ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา110 แม้ว่าเป็นคดีการเมืองก็ตาม
- ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 แต่ไม่ถูกบรรจุในบัญชีฐานความผิดแนบท้าย แม้จะเป็นคดีการเมือง และมีผู้ถูกดำเนินคดีเป็นอย่างน้อย 284 คน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี 20 คน ซึ่งเข้ากระบวนการตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ ไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งทาง กมธ. พยายามเปิดช่องให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้รับนิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112 แบบมีเงื่อนไขยอมรับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ แต่ไม่เป็นผล
- ตามบัญชีฐานความผิดแนบท้ายที่จะได้นิรโทษกรรม ไม่มีความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
- ผู้ถูกดำเนินคดี ครอบครัว หรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถยื่นเรื่องร้องขอนิรโทษกรรมได้
- กระบวนการวินิจฉัยและนิรโทษต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน180 วัน นับจากการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการ หากจำเป็นสามารถขยายเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน เท่ากับว่ากระบวนการต้องไม่เกิน 360 วัน
- ผู้ที่ยังไม่ถูกฟ้องคดีหรืออยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการระงับหรือยุติการสอบสวนหรือการฟ้องคดีทันที
- ผู้ที่ถูกฟ้องคดีแล้วและคดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ให้ศาลยุติการพิจารณาคดีและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ไม่ว่าคดีอยู่ในศาลชั้นใด
- ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาตัดสินแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด
- ผู้ที่กำลังรับโทษอยู่ ไม่ว่าถูกจำคุกหรือควบคุมตัวในลักษณะต่างๆ ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวทันที
- หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องลบข้อมูลประวัติความผิดทางอาญาออก
- หากการกระทำที่ได้รับการนิรโทษกรรม เป็นความผิดทางคดีแพ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ให้การดำเนินคดีทางแพ่งสิ้นสุด หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจไม่สามารถฟ้องร้องเพิ่มเติมได้ หากศาลมีคำพิพากษาให้ชำระค่าเสียหายแล้ว การชำระหนี้หรือการบังคับคดีก็ให้ยุติลงด้วย
- ผู้ที่กระทำความผิดทางคดีแพ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนหรือประชาชน แม้รับนิรโทษกรรม แล้ว เอกชนหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้นั้น ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้
คณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุข?
ในร่างกฎหมายนี้ยังได้กำหนดให้ แต่งตั้ง “คณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุข” ทำหน้าที่วินิจฉัยว่าใครจะได้รับการนิรโทษกรรม ประกอบด้วยคณะกรรมการ 9 คน ที่สัดส่วนเป็นฝ่ายรัฐบาลและข้าราชการระดับสูง มากกว่าผู้ถูกดำเนินคดีหรือผู้เสียหายโดยตรง ดังนี้
- นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรองประธาน
- ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นกรรมการ
- เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นกรรมการ
- ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายหรือด้านสิทธิมนุษยชนหรือด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 3 คน จากการเสนอชื่อของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เป็นกรรมการ
- ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรภาคประชาสังคม ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอจำนวน1 คน
- ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ
เท่ากับว่าในคณะกรรมการมีตัวแทนภาคประชาชนเพียง 1 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าขาดการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติสุขอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ภาคประชาชนได้เคลื่อนไหวในประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน ทั้งภาคีเครือข่าย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม นักกิจกรรมได้เคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมถึงร่วมกันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม มีผู้ลงนามสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ 36,723 คน รวมตัวกันเป็น “เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน” เพื่อนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองที่ร่วมความผิดมาตรา 112 ด้วย ซึ่งเป็นความตื่นตัวของประชาชนจำนวนมากถึงการแก้ไขกฎหมายมาตรานี้
อย่างไรก็ตาม การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เริ่มต้นตั้งแต่ร่างของภาคประชาชนไม่ถูกโหวตรับมาตั้งแต่วาระแรกของ สส. ซึ่งส่งผลให้หลักการสำคัญที่จะทำให้การนิรโทษกรรมครอบคลุมหายไปตั้งแต่ต้น ทั้ง ๆ ที่การนิรโทษกรรมเกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมากที่แสดงออกทางการเมือง และร่วมชุมนุมทางการเมือง ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงเป็นอีกกระบวนการหนึ่งในการสร้างความสัมคคีและสันติสุขในสังคม
นิรโทษกรรมที่ไม่ครอบคลุมทุกคดีการเมือง
เนื่องจากตามร่างกฎหมายได้แนบท้ายฐานความผิดจาก 42 ฐานที่จะได้รับนิรโทษกรรมเช่น ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร เฉพาะการตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ), ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย), ความผิดต่อเจ้าพนักงาน, ความผิดเกี่ยวกับศาสนา, ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน, ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน ความผิดฐานบุกรุก, ความผิดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2551 (เฉพาะที่ไม่เกี่ยวพันกับการเลือกตั้งโดยทุจริต การเลือกตั้ง ที่ไม่เป็นธรรม และคุณสมบัติอันเป็นเท็จ) เป็นต้น
หากกฎหมายนิรโทษกรรมผ่านขั้นตอนทุกอย่างครบถ้วนและประกาศในราชกิจจานุเบกษา กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง จะได้รับการนิรโทษกรรมเช่น คดีบุกทำเนียบ ปิดสนามบิน บุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กลุ่มคนเสื้อเหลือง) และคดีกบฏและก่อการร้าย คดีขัดขวางการเลือกตั้ง ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จะได้รับการนิรโทษกรรม ขณะที่ เยาวชนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือปราศรัยถึงแนวทางปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2563 จนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 นั้น จะไม่ได้รับนิโทษกรรม
บางคดีที่ ได้-ไม่ได้ รับการนิรโทษนั้น เทวฤทธิ์ มณีฉาย มองว่า หากพิจารณาจากร่าง พ.ร.บ.แล้ว ไม่ใช่เพียงผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองหรือ กปปส. เท่านั้น หากแต่เป็นแกนนำทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการนิรโทษกรรมไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งจากการคดีปิดสนามบินที่ต้องใช้ค่าเสียหาย 533 ล้านบาท คดีบุกทำเนียบ คดีปิดสนามบิน คดีฐานกบฎและก่อการร้ายที่มีแกนนำ กปปส. 7 คน รวมทั้งคดีขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นต้น หากแต่ พ.ร.บ.นี้กลับไม่ให้มีผลบังคับกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 ซึ่งอาจเรียกว่าเกี่ยวเนื่องจากการเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2563
“แม้ข้อหา ‘การก่อการร้าย กบฎ’ นั้น เป็นการตั้งข้อหาที่รุนแรงจากเจ้าหน้าที่ แต่ก็ใช่ว่าการกระทำอย่าง ปิดคูหาเลือกตั้ง และยึดสนามบินนั้นไม่สร้างความเสียหายแก่รัฐ กลับกันสร้างผลสะเทือนรุนแรงมากกว่า เมื่อเทียบการกระทำที่เป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 เช่น การโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ซึ่งบางกรณีมีผู้เห็นข้อความจำกัด หรือการปราศรัยที่เป็นการกระทำด้วยวาจาความรุนแรงต่อส่วนรวมหรือรัฐ น้อยกว่าการปิดสนามบินหรือปิดคูหา
และขณะที่โทษข้อหา “การก่อการร้าย กบฎ” สูงสุดถึงประหารชีวิต แต่ โทษสูงสุดของมาตรา 112 คือจำคุก 15 ปี จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 ในเมื่อคดี “การก่อการร้าย กบฎ” กลับได้รับการนิรโทษกรรม” เทวฤทธิ์ มณีฉาย กล่าว
นอกจากสร้างสันติสุขไม่ได้ ยังตอกย้ำความไม่เป็นธรรม และเป็นชนวนความขัดแย้งต่อไป
เทวฤทธิ์ มณีฉาย ยังได้ชวนตั้งข้อสังเกตถึงร่าง พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุข ว่ามีเหตุผลประกอบเขียนทำนองเดียวกันทั้ง 3 ร่างว่า จากความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มีผู้ชุมนุมและผู้แสดงออกทางการเมืองถูกดำเนินคดีจำนวนมาก เขาเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาชั่วร้าย ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หากแต่ทำไปเพื่อต้องการแสดงออกทางการเมืองหรือเรียกร้องต่อรัฐ จึงต้อง ตรา พ.ร.บ. นี้ เพื่อให้โอกาสกับประชาชนและสังคมกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วยความสมัครสมานสามัคคีปรองดองของคนในชาติ
เหตุผลประกอบนี้เป็นการมองบนกรอบคิดที่ว่า การกระทำผิดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปฏิกิริยาจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นทำให้ประเทศสามารถกลับมามีระบอบการเมืองแบบปกติ บวกกับการมองหาทางออกแบบกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ที่มองว่าความขัดแย้งนั้นไม่ควรมุ่งลงโทษไปที่ตัวบุคคล หากแต่มองว่าทุกคนล้วนเป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมือง
ดังนั้นกระบวนการที่ควรจะเป็นคือ เน้นฟื้นฟูเยียวยาและแก้ปัญหาที่ระบบทางการเมือง ซึ่งผู้ที่กระทำความผิดตาม ม.112 ก็เป็นทั้งผู้ที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง เช่น การเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน และผู้ที่แสดงความเห็นหรือเป็นปฏิกิริยาจากการเปลี่ยนแปลงที่รัฐดำเนินการ เช่น การออก พ.ร.บ.ที่ส่งผลต่อสถาบันฯ เช่นกัน
หากเหตุผลประกอบร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับที่ยกขึ้นมาเพื่อตรา พ.ร.บ.นี้ ที่ว่า เพื่อให้โอกาสกับประชาชนและสังคมกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วยความสมัครสมานสามัคคีปรองดองของคนในชาตินั้น เป็นจริง การไม่นับรวมดคีมาตรา 112 ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าการออก พ.ร.บ.นี้ จะทำให้สังคมกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วยความสมัครสมานสามัคคีปรองดอง ตรงกันข้ามจะยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นธรรม การเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นชนวนความขัดแย้งในอนาคตด้วยซ้ำไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




