จากดัชนีชี้วัด ของ World Justice Project (WJP) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระและไม่แสวงหาผลกำไร มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมหลักนิติธรรมทั่วโลก โดยล่าสุดประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 77 จาก 143 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศที่ได้คะแนน Rule of Law Index ดีที่สุดของโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ เดนมาร์ก ได้ 0.90 คะแนน, นอร์เวย์ ได้ 0.89 คะแนน, ฟินแลนด์ ได้ 0.87 คะแนน, สวีเดน ได้ 0.85 คะแนน และนิวซีแลนด์ ได้ 0.83 คะแนน
คะแนน Rule of Law Index ของประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ ได้ 0.78 คะแนน (อันดับ 16/143), มาเลเซีย ได้ 0.57 คะแนน (อันดับ 56/143), อินโดนีเซีย ได้ 0.52 คะแนน (อันดับ 69/143), ไทย ได้ 0.50 คะแนน (อันดับ 77/143), เวียดนาม ได้ 0.50 คะแนน (อันดับ 83/143), ฟิลิปปินส์ ได้ 0.46 คะแนน (อันดับ 97/143), เมียนมา ได้ 0.34 คะแนน (อันดับ 138/143), กัมพูชา ได้ 0.31 คะแนน (อันดับ 141/143)
สำหรับประเทศไทยที่ได้ 0.50 เต็ม 1.00 คะแนนในปี 2568 แยกตามตัวชี้วัด 8 ปัจจัย ได้แก่
- ปัจจัยที่ 1 การจำกัดอำนาจรัฐ (Constraints on Government Powers) โดยฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรอิสระ และการตรวจสอบจากฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐ ได้ 0.47 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 (0.46)
- ปัจจัยที่ 2 การปราศจากคอร์รัปชัน (Absence of Corruption) หรือการที่เจ้าหน้าที่รัฐเช่นนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทหาร ตำรวจไม่ใช้สาธารณสมบัติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ได้ 0.45 คะแนน ลดลงจากปี 2567 (0.46)
- ปัจจัยที่ 3 ความโปร่งใสของภาครัฐ (Open Government) ระดับการเผยแพร่ข้อมูลรัฐ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมและเข้าถึงข้อมูลได้ ได้ 0.48 คะแนน เท่ากับปี 2567
- ปัจจัยที่ 4 สิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Rights) การรับประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ได้ 0.49 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 (0.48)
- ปัจจัยที่ 5 ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security) การควบคุมอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ จำกัดความขัดแย้งทางการเมือง และการไม่ใช้ศาลเตี้ย ได้ 0.75 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 (0.74)
- ปัจจัยที่ 6 การบังคับใช้กฎหมาย (Regulatory Enforcement) อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ล่าช้า ตรงไปตรงมา ปราศจากอิทธิพลใด ๆ ครอบงำ รัฐบาลไม่เวนคืนทรัพย์สินโดยปราศจากกระบวนการทางกฎหมายและการชดเชยได้ 0.45 คะแนน เท่ากับปี 2567
- ปัจจัยที่ 7 กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง (Civil Justice) มีประสิทธิภาพ ไม่ล่าช้า ปราศจากอิทธิพลครอบงำจากรัฐบาล แก้ปัญหาข้อพิพาทแบบทางเลือกที่สามารถเข้าถึงได้ เป็นกลาง และไม่มีคอร์รัปชัน ได้ 0.50 คะแนน เท่ากับปี 2567
- ปัจจัยที่ 8 กระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice) ประสิทธิภาพของระบบการสืบสวนสอบสวน การพิพากษาคดี ระบบราชทัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดอาชญากรรม การปราศจากการแบ่งแยกเลือกปฏิบัติ คอร์รัปชัน ปราศจากอิทธิพลครอบงำของรัฐบาล มีกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมายและประกันสิทธิของผู้ต้องหา ได้ 0.42 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 (0.41 คะแนน)
การจัดอันดับนิติธรรมนี้ มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและความมั่นคงของสังคม นักลงทุนและประชาคมโลก ที่จะสามารถมั่นใจได้ว่า การกระทำใด ๆ ที่ถูกต้องจะได้รับการคุ้มครอง หรือการกระทำที่ผิดจะถูกลงโทษอย่างเสมอหน้า
นิติธรรมคืออะไร
“นิติธรรม” หรือ “The Rule of Law” คือหลักพื้นฐานของกฎหมายและหลักการปกครองประเทศ ด้วยความถูกต้องเป็นธรรมโดยกฎหมาย ไม่ใช่การปกครองโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นิติธรรมจึงเป็นหลักและกฎกติกาที่ผู้บัญญัติกฎหมาย
ผู้ตีความและบังคับใช้กฎหมาย ผู้บริหารปกครองประเทศและราชการ และกระบวนการยุติธรรมจะต้องยึดถือและปฏิบัติตาม ที่ไม่อาจฝ่าฝืนหรือขัดแย้งได้ ด้วยการไม่บิดเบือนกฎหมาย ไม่ใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย
การปฏิบัติหน้าที่จะต้องไม่ทุจริตหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ละเมิดหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และกระบวนการยุติธรรมต้องมีอิสระจากอำนาจการเมือง
สำหรับในประเทศไทยที่มีระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร “civil law” เน้นการบัญญัติกฎหมายในรูปของประมวลกฎหมาย การใช้อำนาจรัฐต้องมีพื้นฐานทางกฎหมายรองรับ และ ตรวจสอบได้ ซึ่งเรียกว่า “หลักนิติรัฐ” (legal state) นิติธรรมและนิติรัฐจึงมีคุณค่าความหมายใกล้เคียงกัน
ปัญหากระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ในคะแนนหลักนิติธรรมของไทย ที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญามีคะแนนต่ำสุด (0.42 คะแนน) นั้น พบว่ามาจากหลายองค์ประกอบ
จากงานวิจัยของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2567 ถึงปัญหาการกระทบสิทธิมนุษยชนในภาคปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาพบว่า การดําเนินการของเจ้าหน้าที่ตํารวจมีความสําคัญอย่างมากและเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา หากแต่ในการปฏิบัติงานนั้นกลับกระทบสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือว่าขัดกับการหลักนิติธรรม
ตัวอย่างเช่น เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับคําร้องทุกข์ และเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับความผิดมาสอบปากคํา เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งในการสอบปากคําพยานนั้นไม่ได้มีการแจ้งสิทธิต่าง ๆ หรือในหมายเรียกพยานก็ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดที่เพียงพอ ว่าจะให้ปากคําเรื่องอะไร ซึ่งทําให้พยานไม่สามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิของบุคคลนั้น ๆ
ในการค้นหาพยานหลักฐาน ตามหมายค้นที่ผู้พิพากษาอนุมัติแล้วนั้น ในหมายค้นมักระบุไว้กว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวางในการหาพยานหลักฐานมาสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา แต่ไม่มีข้อความระบุว่าให้ค้นหาพยานหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย
รวมทั้ง ระยะเวลาในการสอบปากคำนั้นยังไม่ได้มีการกําหนดระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้พนักงานสอบสวนอาจใช้เวลานานเกินสมควรในการสอบสวนก็ได้ อีกทั้งยังไม่มีการกําหนดเวลาไว้ว่าควรสอบสวนหรือไม่ควรสอบสวนในเวลาใด
หลายกรณีพบว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา โดยยังไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนเพื่อจะทราบได้ว่า คนที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้กระทําความผิด ส่งผลให้เกิดการจับแพะ ผู้ต้องหามีโอกาสถูกควบคุมตัวโดยไม่จําเป็น หรือไม่ได้กระทําความผิด แต่ต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือ และถูกบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลทะเบียนประวัติผู้ต้องหาของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
รวมทั้งในการดำเนินงานสอบสวนคดีและรวบรวมพยานหลักฐาน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่เป็นหลักเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีหน่วยงานภายนอกเข้ามากำกับตรวจสอบการทำงานตั้งแต่แรก ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจได้
นอกจากนี้ ผู้ต้องหาอาจถูกขัง แม้ว่ายังไม่มีการตัดสินถึงที่สุดว่ากระทำผิด โดยเฉพาะคดีที่ตีความว่ากระทบต่อ “ความมั่นคงของชาติ” ในสายตาของรัฐ ผู้ต้องหาไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวหรือสิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี แม้ว่าสิทธิในการประกันตัวเป็นไปตามหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานก็ตาม
ศาลมักอ้างว่า กลัวจำเลยหลบหนีหรือการกระทำความผิดซ้ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ขาดข้อเท็จจริงรองรับและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยหรือผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
อีกทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ได้กําหนดกรอบระยะเวลาที่พนักงานสอบสวนต้องส่งสํานวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ ซึ่งในระหว่างการสอบสวนอาจมีการดึงคดีให้ช้าเพื่อให้ขาดอายุความ หรือในคดีของชาวบ้านคนตัวเล็กตัวน้อยอาจถูกบีบให้ยอมรับสารภาพไปไม่ว่าจะกระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม
ขณะเดียวเดียวกัน พนักงานอัยการซึ่งมีหน้าที่รับสำนวนสอบสวนมาพิจารณา แล้วฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งไม่ได้ติดตามการสอบสวนมาตั้งแต่แรก เพียงแต่รับข้อมูลเท่าที่พนักงานสอบสวนส่งมาให้ และมักได้รับสํานวนสอบสวนเมื่อใกล้ครบกําหนดฝากขังครั้งสุดท้ายหรือใกล้จะขาดอายุความแล้ว ทําให้ระยะเวลาในการพิจารณาสั่งคดีมีจำกัดให้ต้องรีบดําเนินการ
การสั่งฟ้องโดยเร่งรีบอาจทําให้อัยการมีเวลาไม่เพียงพอในการตรวจสำนวนสอบสวน อีกทั้งปริมาณพนักงานสอบสวนมีไม่เพียงพอกับปริมาณคดี ทำให้กลั่นกรองคดีในกระบวนการยุติธรรมไม่มีประสิทธิภาพ และสั่งฟ้องมากเกินไป และศาลประทับรับฟ้องโดยไม่มีมูลคดี
อีกทั้ง ในกระบวนการยุติธรรมระดับชั้นศาลก็ต้องเผชิญกับความสุ่มเสี่ยงที่ขัดต่อหลักนิติธรรม จากรายงานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ฉบับมิถุนายน 2567 พบว่าระบบยุติธรรมทางอาญาของไทยมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ กล่าวคือ ศาลยุติธรรมต้องรับคดีเข้าสู่การพิจารณามากเกิน จนมีคดีคั่งค้างจำนวนมากทำให้เกิดความล่าช้า เรือนจำมีนักโทษมากกว่าความสามารถในการรองรับประมาณร้อยละ 70 ทั้ง ๆ ที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยใช้ทรัพยากรทั้งงบประมาณและบุคลากรในอันดับต้น ๆ ของโลก
นอกจากนี้ TDRI ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบกฎหมายไทยเน้นการลงโทษทางอาญามากเกินไป พบว่ามีกฎหมายทางอาญาที่กำหนดบทลงโทษมากกว่า 400 ฉบับ ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อสังคมโดยตรง หรือมีผลกระทบน้อย เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท นอกจากนี้ในคดีทางอาญานั้น ยังมีการฟ้องร้องเชิงกลั่นแกล้ง การฟ้องร้องปิดปากหรือ SLAPP กับประชาชนที่แสดงออกอย่างสุจริต รวมทั้งนิติสงคราม ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลักนิติธรรม
มากไปกว่านั้น หลายคดีอาญามีแนวโน้มลงโทษด้วยการจำคุก มากกว่าการปรับ เพราะกฎหมายกำหนดโทษปรับในระดับต่ำกว่าผลรวมของความเสียหาย การลงโทษจำคุกจึงมีแนวโน้มมากกว่า ซึ่งส่งผลให้ผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญาถูกจำคุกมากเกินไป ขณะเดียวกัน ผู้เสียหายเองก็มักไม่ได้รับการชดเชยอย่างอื่นจากกระบวนการยุติธรรม
และด้วยกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ขั้นตอนแรก ๆ มีปัญหา ทำให้มีปริมาณคดีเข้าสู่การพิจารณาจำนวนมาก นำไปสู่การรับพิจารณาอุทธรณ์-ฎีกามากเกินไป และนำไปสู่การยกฟ้องในภายหลัง
กลไกลเพิ่มคะแนนนิติธรรม
จากสถานการณ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ตัวเลขคะแนนนิติธรรมด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ยังคงต่ำกว่าเกณฑ์เรื่อยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญใด ๆ
ปี 2563 ได้ 0.44 คะแนน
ปี 2564 ได้ 0.43 คะแนน
ปี 2565 ได้ 0.42 คะแนน
ปี 2566 ได้ 0.41 คะแนน
ปี 2567 ได้ 0.41 คะแนน
ดังนั้นเพื่อยกระดับคะแนนนิติธรรม โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่สุดของกระบวนการยุติธรรมได้แก่กฎระเบียบ ซึ่งรายงานฉบับสมบูรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทบสิทธิมนุษยชนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอแนะสถาบันนิติวัชร์ สํานักงานอัยการสูงสุด เช่น
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ระบุอย่างชัดเจนว่า กรณีที่สงสัยว่าพยานที่ให้ปากคํานั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนสอบปากคําผู้นั้นโดยดําเนินการในลักษณะเดียวกับการสอบสวนผู้ต้องหา
รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติม ให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติกับสํานักงานอัยการสูงสุดปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้อัยการมีข้อมูลรายละเอียดคดีพอสมควร ในการสั่ง-ไม่สั่งฟ้อง เพื่อมิให้กระทบสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่ถูกฟ้อง
สำหรับคําสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติและหมายค้นศาล ต้องระบุรายละเอียดการค้นให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น เช่นระบุให้ค้นเท่าที่จําเป็นและสมควร เพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้ต้องหา และในหมายค้นศาล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบุเรื่องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาไว้ด้วยเช่นกัน
ไปจนถึงการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เชื่อมโยงกันทั้งระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง




