การประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านนโยบายสาธารณะ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2568 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธีรพัฒน์ อังศุชวาล ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอบทความเรื่อง “Democratizing the Policy Process through Media Innovation: Policy Watch and the Future of Policy Communication in Thailand” โดยศึกษาถึงบทบาทของ Policy Watch ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภายใต้ศูนย์สื่อสารวาระและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส และมองว่า “สําคัญอย่างมาก” สำหรับการสร้างความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
แม้ว่า “นโยบายสาธารณะ” เริ่มได้รับความสนใจจากคนในสังคมไทยมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมาจากการขับเคลื่อนของพรรคการเมือง หรือ เกิดจาากความตื่นตัวของภาคประชาสังคม แต่คนในสังคมเริ่มตระหนักว่าชีวิตความเป็นอยู่สามารถ “ดีกว่านี้ได้” หากมีนโยบายสาธารณะตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ความตื่นตัวของคนไทยต่อประเด็นทางนโยบายเกิดขึ้นในวงกว้าง ตั้งแต่ระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด จนถึงนโยบายระดับชาติ ดังจะเห็นได้จากคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ทั้งจากชุมชน ภาคประชาสังคม ผู้มีส่วนได้เสียจากนโยบายต่าง ๆ หรือ นักวิชาการ ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ความต้องการ และข้อเสนอทางนโยบาย แต่มักจะ “ไม่ได้รับการตอบสนอง” มากนักจากผู้มีบทบาทกำหนดนโยบาย
ธีรพัฒน์ ในฐานะนักวิชาการ และนักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ยอมรับว่าหากจะดูว่าจริง ๆ แล้วงานวิจัย หรือ ข้อเสนอนํามาสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐได้หรือไม่นั้น มองว่าตรงนี้เป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าบางทีแล้ว อาจจะไม่ได้มีคนกําหนดนโยบายมานั่งฟังงานวิจัยดี ๆ หรือข้อเสนอดี ๆ
แต่มองอีกด้าน บางทีงานวิจัย หรือ ข้อเสนอทางนโยบายยังอาจขาดช่องทางในการที่จะทําให้ไปถึงหูคนกำหนดนโยบาย
“ผมคิดว่าบางทีแล้วมันอาจจําเป็นต้องใช้สื่อกลางนะครับ สื่อต่าง ๆ หรือว่าช่องทางในการสื่อสารทางนโยบายเป็นตัวความรู้ ไปถ่ายทอดต่อผู้กำหนดนโยบาย”
กระบวนการนโยบายสาธารณะเริ่มเปลี่ยน
ปัญหาการขับเคลื่อนนโยบายจากภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม นอกเหนือจากผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ อาจจะเกิดจากลักษณะการจัดทำนโยบายสาธารณะของไทย ธีรพัฒน์ ระบุว่าการกำหนดนโยบายสาธารณะเริ่มต้นจากระบบการรวมศูนย์ จากนั้นก็มีความพยายามในการที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและการกระจายอํานาจ
หากกล่าวถึงการทํานโยบายสาธารณะไทยแบบภาพรวม ทำโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือ เทคโนแครต คือ คนที่มีความรู้ มีอํานาจ ซึ่งการทํานโยบายแบบนี้มักจะถูกอธิบายว่า เป็นการทําแบบท็อปดาวน์ จากบนลงล่าง คนมีความรู้มีอํานาจตัดสินแล้ว จากนั้นก็เอาไปใช้
แต่อีกแบบหนึ่งที่คู่ขนานกัน ซึ่งเริ่มเห็นในสังคมไทยมากขึ้นตั้งแต่หลังปี 2540 ก็คือ ความพยายามในการสร้างกลไกการมีส่วนร่วม เราเริ่มเห็นความพยายามในการให้เสียงของประชาชน เข้าไปอยู่ในการทํานโยบายมากที่สุด เปลี่ยนเป็นจาก “ล่างขึ้นบน” ให้มากที่สุด
นโยบายสาธารณะไทยมีลักษณะ “พิเศษ”
แต่การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการด้านนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราจะเห็นว่าบางนโยบายเป็นแบบ “บนลงล่าง” แต่บางนโยบายเป็นแบบ “ล่างขั้นบน” ธีรพัฒน์ มองว่า เป็นความพิเศษในสังคมไทย กล่าวก็คือมี 2 กลไก ทั้ง “ข้างบนลงล่าง” และ “จากล่างขึ้นบน” อยู่ด้วยกัน ซึ่งบางกรณีมีความขัดแย้งกันบ้าง สอดคล้องกันบ้าง เราอาจจะไม่เหมือนหลายประเทศที่มันมีการเปลี่ยนผ่านชัดเจนว่าจาก “บนลงล่าง” แล้วหายไปกลายเป็น “ล่างขึ้นบน”
“เราอยู่ด้วยกัน คือ ความพิเศษนี่แหละครับ เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่ทําให้นโยบายภาครัฐของไทยน่าสนใจ อยากอธิบายและอยากศึกษาว่าทําไมเราถึงเป็นแบบนี้ แล้วปัญหาหรือความขัดแย้ง หรือสิ่งที่เกิดขึ้น คือระหว่างการที่มีทั้ง 2 แบบอยู่ด้วยกัน มันทําให้เราเห็นภาพของนโยบายใหม่ ๆ อะไรบ้าง เราอาจจะเห็นว่าบางนโยบายที่ดูใช้อํานาจในการตัดสินใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนเหมือนกัน ภาวะแบบ ‘ลักปิดลักเปิด’ ผมว่าเป็นลักษณะสําคัญของสังคมไทย และหลายประเทศในเอเชียมีร่วมกัน”
ธีรพัฒน์ มองว่าสังคมไทยมีรูปแบบการกําหนดนโยบายสาธารณะทั้ง 2 แบบ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะว่าสามารถที่จะเลือกรูปแบบไหนที่เหมาะสมกับบางนโยบาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกนโยบายเหมาะกับการมีส่วนร่วม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกนโยบายจะทําได้ดี โดยที่เน้นคําสั่ง “บนลงล่าง” อย่างเดียว
“สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือผู้กํากับนโยบายต้องชาญฉลาดเพียงพอที่จะรู้ว่านโยบายอะไร ควรใช้ช่องทางและกลไกแบบไหน การมีส่วนร่วมจะเหมาะอย่างมากกับการทํานโยบายที่มีความขัดแย้งสูง ต้องใช้เสียงของประชาชน ต้องมีความชอบธรรมต้องคิดหลายหลายมุมคิดถึงหลายองค์ประกอบ ดึงคนเป็นศูนย์กลาง”
Policy Watch กลไกการมีส่วนร่วมทางนโยบาย
จากความซับซ้อนของนโยบายสาธารณะนี้เอง การสร้างการมีส่วนร่วมนโยบายและมีกลไกที่ดี จึงเป็นสิ่งจำเป็น หากต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม
ธีรพัฒน์ ตั้งข้อสังเกตุว่าหลังยุคปี 2010 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นคําศัพท์ใหม่ ๆ เช่น นวัตกรรมเชิงนโยบาย ซึ่งคําศัพท์เหล่านี้อธิบายถึงกลไกทางนโยบายใหม่ ๆ ที่เริ่มมีการนำมาใช้เพื่อกำหนดนโยบาย
ธีรพัฒน์ การศึกษานโยบายเป็นเป็นแนวคิดใหม่ แต่เมื่อพูดว่าสังคมไทยกําลังริเริ่มอยากสร้างกลไกในการเชื่อมต่อภาครัฐและภาคประชาชน โดยเชื่อมต่อมาด้วยแนวคิดของการสื่อสาร ซึ่งการสื่อสารนี้เองเป็น “สะพานเชื่อม”
“ทําให้นโยบายสาธารณะนั้น ๆ ง่ายขึ้น เข้าถึงได้มากขึ้น น่าติดตามมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็คือเปิดให้มีการส่งเสียงมากยิ่งขึ้น ตรงนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่ทําให้ความรู้ส่งต่อได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ ภายใต้แพลตฟอร์มของ Policy Watch มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ มีการติดตามความคืบหน้าของนโยบาย มีข่าวสารและบทวิเคราะห์ และมีฟอรัม ซึ่งจะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ
นวัตกรรมของสื่อที่สร้างการเปลี่ยนแปลง
ธีรพัฒน์ กล่าวถึงงานศึกษาที่นำเสนอในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งใช้ชื่อว่า “การสร้างความเป็นประชาธิปไตยในกระบวนการนโยบายผ่านบทบาทของสื่อ” ซึ่งพยายามนําเสนอแนวคิดเรื่องการสื่อสารทางนโยบาย โดยศึกษาผ่านการศึกษาของ ThaiPBS Policy Watch โดยโจทย์หลักที่สนใจมาก คือ อยากจะรู้ว่าทําไมสื่อถึงปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเองและไปมีบทบาทในการช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย
อย่างไรก็ตาม สื่อในสังคมไทย มีทั้งสื่อเชิงพาณิชย์และสื่อภาครัฐ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกสื่อจะสนใจนโยบายสาธารณะ โดยแต่ละสื่อมีความสนใจประเด็นแตกต่างกันแล้วแต่กลุ่มทุน แต่ “สื่อสาธารณะ” มีความโดดเด่น ดังนั้น สามารถที่สร้างความอิสระในเนื้อหาและเกาะติดเรื่องราวทางนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง
“จุดเด่นตรงนี้ครับ มันก็นํามาสู่การตั้งแพลตฟอร์ม policy watch ซึ่งเป็นการนําเสนอ และก็ติดตามตัวนโยบายสาธารณะ ถือว่าเป็นที่แรกในเมืองไทยนะครับ ผมอธิบายเรื่องนี้ว่ามันเป็น ‘นวัตกรรมของสื่อที่สร้างการเปลี่ยนแปลง’”
มีอะไรใน Policy Watch
ธีรพัฒน์ มองว่า Policy Watch ในฐานะเป็นนวัตกรรมของสื่อ โดยทํางานใน 3 เรื่องสําคัญ คือ
หนึ่ง สร้างระบบการติดตามกํากับนโยบาย ความหมายก็คือ ติดตามความก้าวหน้าดูว่านโยบายสาธารณะที่รัฐสัญญาไว้ว่าจะทําและก้าวหน้าไปถึงไหน โดยมีการจับตาในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การต่างประเทศ เศรษฐกิจเพื่อสื่อสารแต่ละนโยบายให้คนทั่วไปจะเข้าใจ
สอง สิ่งที่สนใจทําก็คือการทําบทความการสื่อสาร ทําให้เรื่องนโยบายมันง่าย มีบทวิเคราะห์ทางนโยบาย ทําให้เห็นว่าถ้ามีเรื่องนี้ออกมาแล้วชวนวิเคราะห์ให้ดูว่าประชาชนคนทั่วไปได้อะไรจากนโยบายนี้ และมีผลเสียอะไรจากนโยบายนี้ รวมถึงมีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง เพื่อย่อยให้เรื่องราวที่ “ดูไกลตัว เข้าใกล้ตัวมากขึ้น”
สาม คือทําเวทีหรือฟอรัมขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนและถกเถียงทางนโยบาย ซึ่งฟอรัมที่ทำขึ้นมา ไม่ใช่แค่การเอาคนมาคุยกันอย่างเดียว แต่ทําให้เห็นด้วยว่าต้องมาร่วมการพัฒนาข้อเสนอต่อนโยบายรัฐ ซึ่งสามารถนําไปสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
“อันนี้คือ 3 บทบาทหลัก ที่สื่อสามารถทําได้ ในงานศึกษาของผม วิเคราะห์ว่าคือบทบาทสําคัญ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ มันทําให้เห็นว่าสื่อรูปแบบใหม่แบบนี้ ไม่ได้ทํางานเพียงแค่นําเสนอหรือสะท้อนสิ่งที่เป็นไปอย่างเดียว แน่นอนการนําเสนอสิ่งที่เป็นไป คือ บทบาทสําคัญ แต่สิ่งที่สื่อแบบใหม่แบบนี้ทําก็คือช่วยก่อรูปวาระทางสังคม เพื่อนํามาสู่การเปลี่ยนแปลง ผมว่าการทําบทบาททั้ง 2 อัน ก็คือเป็นภาพสะท้อน แล้วก็เป็นตัวเล่าบทบาทขึ้นวาระทางนโยบาย คือการทําให้สื่อปรับบทบาทตัวเองจากเป็นแค่คนเมินเฉยต่อนโยบาย เพียงคอยถ่ายทอดมาสู่คน ก่อรูปก่อร่างช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง อันนี้คือสิ่งที่ใหม่มาก”
ปิดช่องโหว่กระบวนการประชาธิปไตย
ธีรพัฒน์ บอกว่าในรายงานฉบับนี้ ได้วิเคราะห์ว่าการเกิด “สื่อแบบใหม่” ที่ติดตามตรวจสอบและสื่อสารนโยบาย ซึ่งเรื่องที่สําคัญมากก็คือ พยายามที่จะปิดช่องว่าง ที่เรียกว่า เป็น “ภาวะขาดแคลนประชาธิปไตยนโยบายสาธารณะ”
ภาวะขาดแคลน มีอยู่ 3 เรื่อง คือ หนึ่ง ขาดแคลนเรื่องการสื่อสารข้อมูล สอง ขาดแคลนเรื่องการมีส่วนร่วม และ สาม ขาดแคลนเรื่องการสร้างความพร้อมรับผิดรับชอบ หรือ accountability
สิ่งที่สื่อทํา คือ เติมภาวะขาดแคลนข้อมูล ทําให้เรื่องราวของนโยบายมันง่าย มันย่อยง่าย มันเข้าถึงประชาชนมากยิ่งขึ้น แล้วก็พิเคราะห์โดยนําเสนอด้วยประโยชน์จากมุมของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่มุมของคนสื่อสารภาครัฐ อันนี้คือปิดช่องว่างแรก ส่วนช่องว่างที่ 2 เรื่องช่องว่างการมีส่วนร่วมก็คือดึงคนมีส่วนร่วมที่หลากหลาย รวมถึงคนทั่วไปให้มาคุยกันมา มาถกเถียงกัน โดยมีบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องทางนโยบาย และช่องว่างที่ 3 ก็คือเรื่องสื่อ คอยติดตามกดดันให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้นําสัญญาไว้ว่าจะทําตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งหลังเลือกตั้งนั้น ได้ทําตามที่สัญญากับประชาชนหรือไม่
“การเติม 3 ช่องว่าง มันคือบทบาทที่สําคัญอย่างมากเลยที่ช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในกระบวนการนโยบายสาธารณะที่มาจากสื่อ”
Policy Watch คือ ความต่าง
ธีรพัฒน์ บอกว่าหากมองในเชิงของวิชาการ สิ่งที่ Policy Watch ทํา คือ มีเทคโนโลยี หรือวิธีวิทยาที่ต่างออกจากสื่อเดิม ซึ่งสื่อส่วนมากอาจจะบอกว่าตัวเองเป็นคนถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ต้องรักษาความเป็นกลางมากที่สุด ไม่ชี้นํา โดยเน้นการทําข่าว การสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราอาจจะหลงลืมไปว่ามันไม่มีความจริงที่เห็นตรงกัน
“ข้อเท็จจริงมันถูกสร้างขึ้นโดยจุดยืน”
จากจุดนี้ ธีรพัฒน์ มองว่า Policy Watch เข้าใจข้อจํากัดของความจริงนั้น และทําให้เห็นว่าสื่อแบบใหม่ที่อยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้นต้องไม่แค่ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร แต่เป็นคนที่สนับสนุนและคอยเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย และไม่ทําแค่ข่าว แต่ทําบทวิเคราะห์ที่สอดแทรกมุมมองเชิงความคิด เชิงทฤษฎี ซึ่งอาจไม่ได้ใช้คําว่า”ชี้นํา” แต่ใช้คําว่า “สามารถที่จะให้มากกว่าแค่ข้อมูล”
“ทําให้คนอ่านวิเคราะห์ ด้วยกรอบเชิงความคิดของการวิเคราะห์ได้ สิ่งนี้ทําให้ Policy Watch ต่างออกไปจากสื่ออื่น ๆ เพราะว่าเรามีการจัดฟอรัม ทําข้อเสนอทางนโยบาย มีบทวิเคราะห์ทางนโยบายมีระบบการติดตาม ซึ่งทำให้มีมากกว่าการทําแค่ข่าวเกี่ยวกับนโยบาย”
จากบทบาทข้างต้น ธีรพัฒน์ มองว่าจะมีบทบาทหลักใน 2 ด้าน คือ ด้านแรก สร้าง social accountability คือกลไกความพร้อมรับผิดรับชอบของสังคมให้เกิดขึ้น ทําให้เห็นว่ามีคนที่คอยจับตาติดตามสิ่งที่รัฐบาลทําในเชิงนโยบายอยู่ตลอด ซึ่งการมีแบบนี้ คือแรงกดดันแรงกระเพื่อทางสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้านที่สอง ทําให้คนทั่วไปรับรู้เรื่องราวนโยบายมากขึ้น สนใจนโยบายมากขึ้น
“เมื่อสนใจนโยบายมากขึ้น เขาก็อยากจะไปมีส่วนร่วมอะในทางใดทางหนึ่งตั้งแต่การรับรู้ ข้อมูลข่าวสารที่ถูก สามารถวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของของนโยบาย ยิ่งกว่านั้นคือ สามารถดูได้ว่าพรรคการเมืองไหน ผู้นําคนไหนทํานโยบายที่ตอบสนองต่อโจทย์ความต้องการของประชาชนจริง ๆ”
สื่อต้องเปลี่ยน mindset
สุดท้าย ธีรพัฒน์ มองว่าหากสื่อจะปรับตัว หากต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง “ไม่ง่าย” และ อาจจะไม่ใช่เรื่องถูกต้องที่สื่อจะ “ปรับบทบาทตัวเอง” แต่การที่เป็นสื่อเพิกเฉยคอยนําเสนอแต่ข่าว โดยบอกว่าตัวเองเป็นกลางก็ไม่มีประโยชน์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมเหมือนกัน
“สิ่งสําคัญก็คือเราต้องเข้าใจว่าแนวคิดการสื่อสารนโยบายสาธารณะที่มันนํามาสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมได้ มันเป็นตัวแบบที่สามารถส่งต่อและเรียนรู้ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดได้เฉพาะไทยพีบีเอสและที่อื่นทําไม่ได้ ในการศึกษาผมระบุไว้เลยว่าตัวแบบการศึกษานโยบาย มันเป็นตัวแบบที่เรียนรู้และส่งต่อได้”
ธีรพัฒน์ สรุปตอนท้ายว่าเราต้องมี mindset ว่าการสื่อสารไม่ใช่แค่การทําชิ้นงานสื่อแล้วจบ แต่มันต้องเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์การวิเคราะห์การสื่อสาร คือเรื่องเดียวกัน พอวิเคราะห์แล้วต้องทําแผนการสื่อสารว่าการวิเคราะห์นี้จะออกมาในรูปแบบไหน
“ต้องสร้างการมีส่วนร่วมที่ไม่ใช่แค่นับยอดไลก์ยอดคนดู แต่ต้องมีคนเข้ามาถกเถียงขับเคลื่อน ใช้ต่อถึงข้อเสนอระบบวิเคราะห์เหล่านี้ พร้อมกันนั้นก็คือทําให้สิ่งเหล่านี้ มีการนำเอาไปใช้กับคนที่ทํางานสร้างการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้ มันเป็นจุดสําคัญที่ผมคิดว่าถ้าสื่อไหนพร้อม ก็สามารถทําได้ครับ แค่เริ่มที่จะปรับบทบาท”
ผศ.ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นที่ปรึกษา Policy Watch นำเสนอบทความเรื่อง “Democratizing the Policy Process through Media Innovation: Policy Watch and the Future of Policy Communication in Thailand” ในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านนโยบายสาธารณะ ครั้งที่ 7 ในปี พ.ศ. 2568 (The 7 International Conference on Public Policy 2025) ระหว่าง 2-4 ก.ค. 68 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.เชียงใหม่
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: