จากผลการสำรวจดัชนีรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2567 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) จากจำนวนประเทศ 180 ประเทศทั่วโลก ไทยได้คะแนน 34 เต็ม 100 เป็นอันดับ 107 ของโลก และถือเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ 12 ปี
แม้ว่าจะมีองค์กรภาครัฐจำนวนมากทำหน้าที่สอบสวน ลงโทษ ข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน หากแต่ยังพบว่า การคอร์รัปชันยังคงปรากฎอยู่อย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าความพยายามแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่ผ่านมายังเกาไม่ถูกที่คัน
ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อการต่อต้านการคอร์รัปชัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นภาพรวมของปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยว่า เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงเรื่องของคนบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งคอร์รัปชันเกิดจากระบบที่ซับซ้อน กฎหมายที่ล้าหลัง และวัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับการทุจริตอย่างเงียบ ๆ
และช่วงเวลาของการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล คือในช่วงเวลา 100 วันแรกของรัฐบาลใหม่ซึ่งถือเป็นช่วง “Golden Period” ที่มีพลังทางการเมืองสูงที่สุด สามารถออกมาตรการที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ด้วยกระบวนการต่าง ๆ
รัฐบาลจะต้องมีเจตจำนงชัดเจนที่จะยุติคอร์รัปชัน ด้วยการเร่งปฏิรูปกฎหมายที่เป็นแหล่งเพาะคอร์รัปชัน เช่น ระบบใบอนุญาตและการอนุมัติที่ซับซ้อน ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ หากสามารถยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น หรือ “กิโยตินกฎหมาย” จะช่วยลด “ค่าใช้จ่ายใต้โต๊ะ” ให้ผู้ประกอบการได้มาก
และเครื่องมือที่สำคัญที่จะยุติคอร์รัปชันได้ในระยะยาวและยั่งยืนคือ การผลักดัน Open Data เชิงรุก ที่หน่วยงานภาครัฐเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะเข้าถึงและตรวจสอบ ไม่ใช่แค่ตามเท่าที่กฎหมายกำหนด และต้องทำให้มีมาตรฐานกลาง (data standard) เพื่อให้ข้อมูลของกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงกันได้และใช้ตรวจสอบได้จริง เข้าถึงง่าย ไม่กระจัดกระจายอย่างที่เป็นอยู่
และข้อมูลต้องเป็น machine-readable และเข้าถึงได้โดยไม่ต้องทำหนังสือร้องขอเป็นกรณี ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความโปร่งใส ประชาชน ประชาสังคมมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโครงการภาครัฐต่าง ๆ
ปัจจุบันมีโครงการที่เข้ามาทำหน้าที่เปิดเผยข้อมูลโครงการภาครัฐและให้ประชาชนเข้ามาเป็นอาสาสมัครตรวจสอบโครงการเช่น โครงการข้อตกลงคุณธรรม และ โครงการ CoST ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในการจับพิรุธและเฝ้าระวังคอร์รัปชันในโครงการภาครัฐ
โครงการข้อตกลงคุณธรรม ช่วยตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง
เนื่องจากหัวใจของการป้องกันการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ คือการทำให้ทุกขั้นตอนโปร่งใส ถูกทำให้มองเห็น ตรวจสอบได้ง่าย ปัจจุบันจึงมีโครงการที่เข้ามาตรวจสอบจับตาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนบุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วม
ต่อภัสสร์ อธิบายว่า โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact – IP) เป็นข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในโครงการรัฐที่ใช้งบประมาณตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีการลงนามร่วมกัน 3 ฝ่าย ระหว่างหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการจัดซื้อจัดจ้าง ผู้เข้าร่วมการเสนอราคา และ ผู้สังเกตการณ์อิสระ (Independent Observer – IO) ว่าจะไม่กระทำการใด ๆ ที่ส่อไปในทางทุจริต
ถือว่าเป็นนวัตกรรมสำคัญที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะสร้างความมีส่วนร่วม มีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วม เช่นสภาวิชาชีพ นายสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญภายนอก มาเป็น IO เข้ามาตรวจสอบทุกขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจุบัน มี IO ทั้งหมด 251 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2568)
โครงการข้อตกลงคุณธรรม ถือกลไกสร้างความสมดุลที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ เปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน ให้ผู้ประมูลยอมรับข้อตกลง เอกชนผู้เข้าร่วมเสนอราคา ต้องสัญญาไม่ให้สินบนและให้ผู้สังเกตการณ์ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ประชาชนผู้สังเกตการณ์ สามารถเข้าถึงข้อมูล เอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโครงการ แจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ ตรวจสอบข้อมูลโครงการตั้งแต่ร่าง TOR จนถึงส่งมอบงาน และรายงานผลการสังเกตการณ์ หากพบกรณีที่ส่อไปในทางทุจริต ผิดระเบียบ หรือขัดต่อสัญญา
การที่มีผู้สังเกตการณ์อิสระร่วมติดตามการบริหารโครงการในทุกขั้นตอน ถือเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงคุณธรรม ที่ทำให้เกิดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลเป็นรูปธรรม ในการคัดเลือกผู้สังเกตการณ์อิสระ มีความรัดกุมเพื่อป้องกันผู้สังเกตการณ์เป็นนอมินีในโครงการรัฐเสียเอง
คณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (คปท.) เป็นผู้ทำหน้าที่กำกับการดำเนินงาน โดยมีองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนได้รับมอบหมายจาก คปท. ให้ทำหน้าที่คัดเลือกผู้สังเกตการณ์อิสระทำหน้าที่ติดตามโครงการ
ต่อภัสสร์ ยมนาค เปิดเผยผลสำเร็จของข้อตกลงคุณธรรมที่ผ่านมา ในเสวนาหัวข้อ “Open data กับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568 ว่า
- โครงการนี้สร้างความเชื่อมั่นและสร้างบรรยากาศการแข่งขันเสนอราคา และส่งผลให้เกิดการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน โดยตั้งแต่ พ.ศ. 2558 – 31 กรกฎาคม 2563 มีโครงการขนาดใหญ่ (งบตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) เข้าร่วมโครงการแล้ว 193 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 2.15 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีโครงการที่ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 157 โครงการ และจากการจับพิรุธทุจริต เกิดการประหยัดการใช้จ่ายงบประมาณรวม 78,474 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8.2 (ข้อมูล ณ เดือน ก.ย. 68)
- เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ว่า ถูกต้องโปร่งใสและกล้าดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อิสระเป็นเกราะช่วยป้องกันการแทรกแซงจากภายนอก
- เพิ่มประสิทธิผลการจัดซื้อจัดจ้าง สำเร็จตามเป้าหมาย จากผู้สังเกตการณ์ ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีประสบการณ์สูง สามารถทำให้การบริหารจัดการโครงการเป็นไปเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของโครงการข้อตกลงคุณธรรมนั้นยังคงหลากหลาย บางกรณีประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน เช่น กรณีโรงงานยาสูบที่สามารถประหยัดงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท แต่บางกรณีกลับไม่เกิดผล เช่น กรณีก่อสร้างตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่แม้จะเข้าร่วมโครงการ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตได้ ทั้งนี้เพราะเข้าร่วมโครงการภายหลัง IO ไม่ได้เข้าร่วมขั้นตอนแต่แรก ไม่ได้เห็นการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ได้เห็น TOR
ดังนั้นโครงการข้อตกลงคุณธรรมยังคงต้องพัฒนาต่อไปอีก เพื่อป้องกันคอร์รัปชันในโครงการรัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
- แก้ไขข้อจำกัดของสัญญารักษาความลับ (Non-Disclosure Agreement, NDA) ที่ทำให้ IO ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะได้เต็มที่
- ข้อเสนอแนะของ IO ยังไม่มีผลผูกพัน IO ไม่มีอำนาจตัดสินและไม่มีอำนาจบังคับให้เกิดการแก้ไข จึงทำได้เพียงตั้งคำถามเท่านั้น การแก้ไขการคอร์รัปชันที่พบจึงยังคงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ
- กระบวนการคัดเลือกสรรหา IO ที่ต้องรัดกุมเพื่อป้องกัน IO เป็นนอมินีทำหน้าที่ฟอกขาวโครงการนั้นๆ ที่มีการทุจริต ซึ่งปัจจุบันการคัดเลือกเป็นไปอย่างเข้มช้น ผ่านการอบรม และคัดเลือกหลายขั้นตอน
- งบประมาณของโครงการมาจากกองทุนธรรมาภิบาลไทย ไม่ใช่มาจากภาครัฐ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องสนับสนุน ด้วยการมีงบประมาณให้กับโครงการข้อตกลงคุณธรรม
นอกจากนี้ ต่อภัสสร์ ยังเสนอให้ปรับกลไกโครงการให้ทันสมัย โดยสร้างแรงจูงใจเชิงบวกให้หน่วยงานรัฐเข้าร่วมเช่น การให้รางวัลด้านความโปร่งใส หรือการประกาศผลการตรวจสอบเป็นการจัดอันดับคะแนน เพื่อให้สังคมได้รับรู้และสร้างแรงกดดันเชิงบวก
โครงการ CoST ตรวจคอร์รัปชันการก่อสร้างโครงการพื้นฐานประเทศ
นอกจากข้อตกลงคุณธรรมแล้ว ยังมีเครื่องมือสำคัญในการป้องกันทุจริตคอร์รัปชันคือโครงการ CoST (Construction Sector Transparency Initiative) หรือปัจจุบันใช้ชื่อว่าโครงการ the Infrastructure Transparency Initiative ซึ่งบังคับให้โครงการก่อสร้างภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับโครงการพื้นฐาน (Infrastructure Project) ของประเทศเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณชนในทุกๆ ระยะที่ดำเนินการ
โครงการนี้ มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเลขานุการ และมีคณะทำงานตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แปลให้อยู่ในรูปของภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มสามารถเข้าใจได้ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมในกระบวนการเปิดเผยข้อมูล ทุกๆ ระยะ และใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเรียกร้องเอาผิดจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ ในกรณีที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับโครงการการก่อสร้าง
โครงการที่เข้าร่วม CoST เช่น
- โครงการก่อสร้างอาคารสถาบันโรคผิวหนังพร้อมรื้อถอน ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
- โครงการบรรเทาอุทกภัย อ.หาดใหญ่ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- โครงการก่อสร้างทางวิ่งทางขับท่าอากาศยานเบตง ของกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม
- โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง -วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก
ต่อภัสสร์ กล่าวถึงจุดแข็งของ CoST ว่า เป็นการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนเห็นกระบวนการของโครงการทั้งหมด สร้างร่องรอยดิจิทัล (digital footprint) ที่ตรวจสอบย้อนหลังได้ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่รัฐระมัดระวังมากขึ้น ในเชิงจิตวิทยาทำให้เจ้าหน้าที่เกรงกลัวถูกตรวจสอบจับได้ ช่วยลดการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
และส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมกำกับดูแลโครงการในท้องถิ่นได้สะดวกมากขึ้นผ่านการติดตามโครงการจากข้อมูลที่เปิดเผย ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาและป้องกันทุจริตคอร์รัปชันต่อโครงการการก่อสร้างพื้นฐานได้ นอกจากนี้เมื่อเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ก็ยิ่งทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น
ในช่วง 10 ปี โครงการ CoST ช่วยรัฐบาลและคนไทยประหยัดงบประมาณจำนวน 27,761 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.38 ของงบประมาณ อันเป็นผลจากการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานของ CoST ซึ่งปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างที่เปิดข้อมูลตามมาตรฐาน CoST จำนวน 7,118 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 446,417 ล้านบาท (จากข้อมูล ณ วันที่ 6 ส.ค. 2568)
อย่างไรก็ตามโครงการ CoST ยังคงต้องพัฒนาเพื่อขยายผลลัพธ์เชิงบวกมากขึ้น เช่น
- กระตุ้นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยราชการส่วนภูมิภาคจัดส่งข้อมูลโครงการก่อสร้าง
- กำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลของเจ้าหน้าที่่ อปท.ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐาน CoST
- ส่งเสริมกระบวนการรับฟังความต้องการประชาชนในท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลกำหนดแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดที่ตอบสนองความต้องการประชาชนในแต่ละท้องถิ่น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง