ดัชนีรับรู้การทุจริตคืออะไร
ดัชนีรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) เป็นมาตรวัดระดับความโปร่งใสของแต่ละประเทศ ซึ่งจัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และเผยแพร่เป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 1995 ดัชนีนี้อ้างอิงข้อมูลจากการประเมินระดับการทุจริตในภาครัฐ โดยรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจในแต่ละประเทศผ่านแหล่งข้อมูลที่หลากหลายจาก 13 แหล่งใน 12 สถาบัน ก่อนที่ผลลัพธ์ถูกแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานในช่วง 0-100 โดยที่คะแนน 100 หมายถึงความโปร่งใสสูงสุด และคะแนน 0 หมายถึงการทุจริตในระดับสูงสุด โดยข้อมูลที่จะใช้จัดอันดับนั้นจะใช้แหล่งข้อมูลอย่างน้อย 3 แหล่ง
แม้ว่าดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) จะไม่ใช่การวัดการทุจริตที่เกิดขึ้นจริงโดยตรง แต่เป็นการประเมินผ่านการรับรู้ของผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีนี้ถือเป็นมาตรวัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเปรียบเทียบระดับการทุจริตในภาครัฐทั่วโลก และมีอิทธิพลสำคัญต่อการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การทุจริตทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น บิดเบือนการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบทางธุรกิจ ส่งผลให้ประเทศที่มีระดับการทุจริตต่ำสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน ประเทศที่มีระดับการทุจริตสูงมักเผชิญกับการลดลงของการลงทุนจากต่างชาติ เนื่องจากความเสี่ยงด้านการทุจริตและการติดสินบน นอกจากนี้ ระดับการทุจริตที่สูงยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอลง และลดประสิทธิภาพในการให้บริการสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ยกระดับคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริต: มุมมองจากงานวิจัย
ข้อมูลจากดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ถือเป็นแหล่งอ้างอิงที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย ในปี 2566 ได้มีการศึกษาวิจัยเรื่อง “พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index: CPI) ของประเทศไทย” โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า และนำเสนอผลการศึกษาต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยงานวิจัยนี้มีเป้าหมายในการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลทุกแหล่งที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ใช้ในการประเมินระดับการทุจริตของประเทศไทย รวมถึงการจัดทำข้อเสนอเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถช่วยยกระดับคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้ดีขึ้น
จากการศึกษาแหล่งข้อมูลทั้ง 9 แหล่งที่ใช้ในการประเมินดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย งานวิจัยนี้พบว่า ดัชนีนี้มุ่งเน้นสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับการทุจริตในภาครัฐ โดยครอบคลุมทั้ง การทุจริตทางการเมือง และการทุจริตในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่การวัดระดับการทุจริตในภาพรวมของประเทศที่รวมถึงภาคเอกชนหรือพฤติกรรมของประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
ประเด็นที่ดัชนีรับรู้การทุจริตให้ความสำคัญ ได้แก่ การให้และรับสินบน, การจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน, การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่รัฐโดยปราศจากบทลงโทษ, ความสามารถของรัฐบาลในการป้องกันและต่อต้านการทุจริต, ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กลไกความซื่อสัตย์ (Integrity Mechanisms) ในภาครัฐ, ขั้นตอนและระเบียบราชการที่ซับซ้อนหรือมากเกินไป ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริต, กระบวนการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ระหว่างการแต่งตั้งโดยระบบตามความรู้ความสามารถ (merit system) กับการแต่งตั้งผ่านระบบอุปถัมภ์, การดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ, กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ, การคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับผู้แจ้งเบาะแส สื่อมวลชน และบุคคลที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต
การยกระดับคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริต: บทเรียนจากต่างประเทศ
นอกเหนือจากการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลทั้ง 9 แหล่งแล้ว งานวิจัยนี้ยังได้ศึกษากรณีตัวอย่างจาก 6 ประเทศที่สามารถยกระดับคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เอสโตเนีย อุรุกวัย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผลการศึกษาพบว่า ทั้ง 6 ประเทศเคยเผชิญกับปัญหาการทุจริตอย่างรุนแรง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยมี 3 ปัจจัยสำคัญ ที่เอื้อต่อการแพร่กระจายของการทุจริต ได้แก่ บริบททางการเมืองที่เอื้อให้เกิดการทุจริตในวงกว้าง เกิดจากความต้องการรักษาอำนาจของผู้นำทางการเมืองหรือกลุ่มอำนาจ ส่งผลให้เกิดระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ผ่านการทุจริต, ค่านิยมทางสังคมที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์แบบเครือญาติและระบบอุปถัมภ์, และวัฒนธรรมการทำงานที่พึ่งพาการติดสินบนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่ ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่าง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 คะแนนดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ของทั้ง 6 ประเทศมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเกิดจาก ปัจจัยสำคัญทางการเมืองภายในประเทศ ที่ส่งผลโดยตรงต่อการลดระดับการทุจริตในภาครัฐ ตัวอย่างของปัจจัยทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่:
- อินโดนีเซีย: การสิ้นสุดอำนาจของ ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ซึ่งเปิดทางให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองและมาตรการต่อต้านการทุจริต
- เกาหลีใต้: การสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลทหาร ซึ่งนำไปสู่กระบวนการปฏิรูปทางการเมืองและกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น
- เวียดนาม: การที่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง ส่งผลให้คะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตของเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยร่วมที่สำคัญ ซึ่งทำให้ทั้ง 6 ประเทศสามารถลดระดับการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ รัฐบาลของแต่ละประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง “ยอมรับ” ว่าปัญหาการทุจริตเป็นวิกฤติระดับชาติ และตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน ผ่านนโยบายที่ชัดเจนและมาตรการป้องกันการทุจริตที่เข้มแข็ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจตจำนงทางการเมือง (political will) เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงการลดการทุจริต
เมื่อปัญหาการทุจริตได้รับการยอมรับและถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมจึงเกิดขึ้นตามมา จากกรณีศึกษาของทั้ง 6 ประเทศพบว่า มีการดำเนินมาตรการเพื่อเสริมสร้าง กระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ได้แก่ การออกแบบและจัดวางโครงสร้างเชิงสถาบันเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่ช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในการลดระดับการทุจริต, การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐอย่างโปร่งใสและเข้าถึงได้ง่าย การแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยทั้งกลไกรัฐที่เข้มแข็ง การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกัน
ฉากทัศน์กับความเป็นจริง
ในงานวิจัยนี้ได้ทำการวิเคราะห์และเสนอฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ของคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยแบ่งออกเป็น 3 ฉากทัศน์ ได้แก่:
ฉากทัศน์ที่ 1: คะแนนคงที่หรือลดลงเล็กน้อย คะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในอัตราที่คงที่หรือแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย โดยจะอยู่ในช่วง 36-37 คะแนน คล้ายกับแนวโน้มในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย 50 คะแนน ได้
ฉากทัศน์ที่ 2: การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าแต่ต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นประมาณ 5-6 คะแนนในระยะเวลา 10 ปี อยู่ระหว่าง 36-42 คะแนน แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย 50 คะแนนได้
ฉากทัศน์ที่ 3: การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 10 คะแนน ภายในระยะเวลา 10 ปี ทำให้คะแนนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเป้าหมาย 50 คะแนนมากที่สุด
เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ประจำปี 2567 ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 พบว่า ประเทศไทยได้รับ 34 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก ซึ่งถือเป็น คะแนนที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี คะแนนดังกล่าว สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ 1 ตามที่งานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์ไว้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่คะแนนมีลักษณะคงที่หรือลดลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การที่คะแนนลดลงเหลือ 34 คะแนน จากระดับ 36-37 คะแนนในช่วงก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าปัญหาการทุจริตในประเทศไทย ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และควรถูกยกระดับเป็น วาระแห่งชาติอย่างเร่งด่วน
การลดลงของคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการทุจริตยังไม่ได้รับการผลักดันให้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เนื่องจากไม่เพียงแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก แต่คะแนนยังลดลงอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 กรณีศึกษาของประเทศที่สามารถยกระดับคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริตได้สำเร็จ ยิ่งตอกย้ำว่ายังขาดเจตจำนงทางการเมืองในการยอมรับและแก้ไขปัญหาการทุจริตในประเทศไทยอย่างจริงจัง
หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สถานการณ์ด้านการทุจริตและความโปร่งใสของประเทศไทยอาจยิ่งถดถอยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระบบเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ของประเทศในระดับนานาชาติ รวมไปถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ
มองไปข้างหน้า การแก้ไขปัญหาการทุจริตในประเทศไทย
การแก้ไขปัญหาการทุจริตในประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) เพิ่มสูงขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปอย่างเป็นระบบในสามประเด็นสำคัญ ได้แก่
- การเสริมสร้างกลไกป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และ
- การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม
หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาการทุจริตคือ “เจตจำนงทางการเมือง” (Political Will) ในการยอมรับว่าการทุจริตเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ธุรกิจ ประชาสังคม และประชาชนทั่วไป
การแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า การลดการทุจริตต้องเป็นความพยายามร่วมกันของทั้งสังคม ไม่ใช่เพียงบทบาทของหน่วยงานรัฐใดหน่วยงานหนึ่ง การแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมและโปร่งใสจึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในการสร้างสังคมที่ปลอดจากการทุจริตได้อย่างแท้จริง