ภัยพิบัติเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ แต่ทำไมถึงเรายังรับมือได้ไม่ดีพอ? “ข้อมูล” เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่จะทำให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ที่การรับมือของเรายังไม่ดีพอ เป็นเพราะ “ข้อมูลเราไม่เพียงพอ” หรือ “เรายังใช้ได้ไม่ดีพอ”
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ค้นหาเจาะลึกปัญหาภัยพิบัติ ระดมความคิดหาแนวทางการใช้ข้อมูล ฟื้นคืนชีวิต จิตใจ และเศรษฐกิจของคนไทยใน “Policy Forum : Open Data Day 2025 – น้ำท่วม ฝุ่นควัน ไฟป่า : ถอดสมการ “ภัยพิบัติไม่รู้จบ” ของไทยด้วยข้อมูล”
การรับมือภัยพิบัติที่ผ่านมา เราพลาดที่ตรงไหน ?
“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลบ่อย ความต่อเนื่องในการจัดการภัยพิบัติจึงไม่มี ทั้งที่รัฐต้องเป็นเจ้าภาพหลัก ทำให้เราเสียโอกาส ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้”
สมบัติ บุญงามอนงค์
สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา เริ่มต้นการพูดคุยบนเวทีเสวนาสะท้อนถึงปัญหาที่ทำให้การรับมือภัยพิบัติของไทยยังไม่สมบูรณ์ เป็นที่มาให้ในวันนี้เราเริ่มเห็นบทบาทของภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชน ที่ออกมาพัฒนากลไกการตั้งรับกับภัยพิบัติที่วนเวียนกลับมาให้เห็นอยู่ทุกปี
แต่ที่น่าสนใจคือการรับมือของเราที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ว่า “ข้อมูลไม่เพียงพอ” โดยผู้ร่วมเสวนาทั้งหมดมองเห็นคล้ายกันว่าเป็นเพราะ “การใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่ดีพอ”
รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานจัดซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งไม่จำเป็นต้องจัดหามาเพิ่มอีกแล้ว เพียงแต่มีข้อมูลเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการกลับส่งไปไม่ถึงเขา
ยกตัวอย่างเช่น “น้ำท่วม” ในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังเกิดภัยพิบัติ สิ่งที่ประชาชนต้องการรู้จะแตกต่างกันไป
- ก่อนเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่อง แผนที่เสี่ยง เพื่อเช็กว่าบ้านเขาตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่, ช่วงเวลาการเกิดน้ำท่วม, เส้นทางอพยพ, จุดจอดรถ และศูนย์อพยพ เพื่อให้เขาเตรียมความพร้อมในการหนี
- ระหว่างเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่อง การปฏิบัติตัวระหว่างอยู่กับภัยพิบัติ, ช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับน้ำท่วม จะต้องอยู่อีกกี่วัน และข้อมูลหน่วยกู้ภัย
- หลังเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่องการเยียวยา
ขณะที่ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ มองว่า “ภัยพิบัติเป็นภัยข้ามหลายพื้นที่” ทั้งทางอำนาจ กายภาพ และทักษะงานของแต่ละคน เพราะกฎหมาย ระเบียบเงิน และระเบียบทรัพยากรไม่ได้เอื้อให้เกิดการจัดการภัยพิบัติ ทำให้ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ ออกมาช่วย แต่ก็ต่างคนต่างทำ ไม่ได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน
คำถามคือภาครัฐ แม้จะมีสรรพกำลังด้านข้อมูล แต่จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนที่จะทำให้ข้อมูลนั้นใช้งานได้ เพราะงานล้นมือ จนแทบเอาข้อมูลมาใช้ไม่ทัน ขณะที่นักวิชาการ มีความสามารถในการเอาข้อมูลมาใช้มากกว่าก็จริง แต่เขาเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดจริงหรือเปล่า
“ในเมื่อรัฐกระจายอำนาจให้แต่ละพื้นที่จัดการปัญหาของตัวเองได้ ต้องทำให้พวกเขามีศักยภาพจริง ๆ ไม่ใช่ผลักภาระ แต่สิ่งที่รัฐไม่ควรกระจายอำนาจจนทำให้พวกเขาขาดคือ ‘การแชร์ข้อมูล’ การรวมข้อมูลไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจ และไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทุกคนต้องเข้า Open Data ได้ หากข้อมูลนั้นสามารถเปิดเผยได้ โดยไม่ละเมิด ‘กฎหมาย PDPA’”
รศ.ทวิดา กมลเวชช
“ข้อมูล” อย่างเดียวไม่พอ ต้องเชื่อมต่อระหว่างกันด้วย
ในหน้างานของการจัดการภัยพิบัติมักเกิดสิ่งที่แม้แต่คนทำข้อมูลก็ยังไม่คาดคิด ในยามวิกฤตคนจัดระเบียบข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และจัดลำดับความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ จึงสำคัญมากเพราะเราไม่เคยซ้อมอพยพบนเงื่อนไขจริง ๆ เช่น การซ้อมหนีสึนามิ เรามักขับรถในการซ้อม แต่ในสถานการณ์จริง รถจะติดมาก ไม่นับว่าต้องเจอกับรถที่ขับสวนเข้า-ออกไปรับคนในครอบครัวที่อยู่กันคนละที่อีก ดังนั้น เราไม่อาจหนีได้ทัน
“สมบัติ” เล่าประสบการณ์ในฐานะอาสาสมัครให้ฟังว่า น้ำท่วมเชียงรายที่ผ่านมา มีน้องคนหนึ่งคอยรับโทรศัพท์จากผู้ประสบภัยแล้วจัดระเบียบข้อมูล ทำให้เขาสามารถประเมินได้ว่ามีบ้านหลังไหนที่วิกฤตบ้าง ซึ่งขณะนั้นอาสาสมัครเราทำได้แค่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่รถหรือเรือพายเข้าไปถึง แต่ในบ้านที่น้ำท่วมหนัก จำเป็นต้องให้หน่วยซีลช่วยเหลือ
ขณะนั้นเมื่อหน่วยซีลมาถึงที่เชียงราย คิดว่าจะเริ่มให้ความช่วยเหลือในรุ่งเช้า แต่เด็กคนนั้นบอกว่าไม่ทัน เขาประเมินจากข้อมูลแล้วคาดการณ์ว่า น้ำคงระดับอกแล้ว ถ้าไม่ช่วยในคืนนี้คงไม่ทัน ทำให้หน่วยซีลเริ่มปฏิบัติการในเที่ยงคืนวันนั้น และเข้าช่วยเหลือได้ทัน
นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างของ “ข้อมูล” คือ คนมีข้อมูล แต่คนตัดสินใจ หรือคนเชื่อมต่อแต่ละหน่วยงาน เขาจะเชื่อมต่อกันได้อย่างไร ให้สามารถทำงานแข่งขันกับเวลาในยามเกิดภัยพิบัติได้
ซึ่งสะท้อนว่า สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือ “คนจัดระเบียบ” ส่วนจะเป็นหน้าที่ใครนั้น “รศ.ทวิดา” ให้ความเห็นว่า “นักวิชาการ” อาจเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด เพราะเขามีทักษะ มีเวลา สามารถขอทุนได้ และถ้าทำสำเร็จจะได้ตำแหน่งวิชาการด้วย ถือว่าเรื่องนี้จะทำให้ win – win ทั้งคู่
ดับไฟลดฝุ่นไม่ยาก แต่ต้องเตรียมพร้อม
“ไฟป่า” เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สร้างฝุ่นควันและมลพิษ ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงในทุก ๆ ปี แต่ที่จริงแล้วจัดการไม่ยาก โดย “สมบัติ” ให้ความเห็นว่า 90% ของคนที่นั่งอยู่ในงานนี้ สามารถดับไฟได้หมด เพราะป่าเต็งรัง หรือป่าไผ่ บ้านเรา ถือว่าดับไฟไม่ยาก แค่ “ต้องเดินให้เร็วกว่าไฟ”
แต่อุปสรรคเดียวที่ยากคือ การเดินขึ้นเขา ไม่ใช่ว่าไม่มีรถ แต่เพราะต้องแบกสัมภาระของทีมดับไฟ รวมถึงน้ำขึ้นไปด้วย เป็นหมื่น ๆ ถึงแสนลิตร คำถามคือแล้วทีมจะขนน้ำดับไฟให้ทันได้เร็วแค่ไหน สถานีสำรองน้ำคือคำตอบ แต่ที่มูลนิธิกระจกเงาทำได้ในตอนนี้ มีเพียง 22 จุด
ถ้ามีสถานีสำรองน้ำมากกว่านี้ ทีมดับไฟอาจไม่ต้องแบกถังน้ำ ถือเครื่องเป่าไปอีก และเวลาเกิดเหตุจะเดินไปได้อย่างรวดเร็ว ดับไฟได้เร็วขึ้น
ประธานมูลนิธิกระจกเงา จึงมองว่า เรื่องนี้เป็นการบริหารจัดการล้วน ๆ ถ้าเราเข้าใจไฟในพื้นที่ของเราได้ ลดเชื้อเพลิง มีสถานีสำรองน้ำ และชวนผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่มาร่วมออกแบบการจัดการไฟป่า ไม่ว่าจะเผชิญไฟป่าที่ไหน อย่างไร ก็ไม่มีวันแพ้
“ดาวเทียม” บอกทางรอด นโยบายต้องปรับให้ทันเกม
ปัญหาของข้อมูลที่เห็นได้ชัด สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA สรุปออกมาได้ 2 อย่างคือ “ข้อมูลยังไม่พร้อม” และ “ข้อมูลไม่ถูกเปิดเผยออกมาให้ใช้งาน” โดยเฉพาะข้อมูลที่ต้องเข้าไปถึงผู้ประสบภัย
สำหรับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเป็นหลัก ข้อดีคือสามารถเข้าไปสำรวจข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้คน ทำให้เห็นภาพกว้างว่าภัยเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง และมีความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน เพียงแต่มีข้อจำจัดที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือผู้คนได้อย่างอาสาสมัคร
ข้อมูลจากดาวเทียม มีความครอบคลุม สามารถชี้เป้า และทำให้เราเห็นเป็นแพตเทิร์น (Pattern) ได้ ยกตัวอย่างภาพจุดความร้อน (Hotspot) ในการสำรวจพื้นที่เผาไหม้ในแต่ละปี สะท้อนให้เห็นการเผาไหม้เป็นแพตเทิล ที่จะเกิดขึ้นที่กัมพูชาก่อน แล้วมายัง เมียนมา ลาว และไทย ในเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ของทุกปี
แต่ในปีนี้แปลกกว่าปีอื่น ๆ เพราะจุดความร้อนที่พบในดาวเทียม เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลาปกติ คือเริ่มในเดือนมกราคมและรุนแรงมากขึ้นถึง 3 เท่า เป็นเหตุผลที่วิกฤติฝุ่นปีนี้รุนแรงขึ้นตั้งแต่ต้นปี สะท้อนให้เห็นว่า “คนเผา” ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
“ข้อมูลจากดาวเทียม แม้ไม่ได้ช่วยผู้ประสบภัยได้โดยตรง แต่ช่วยชี้นำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นำไปบริหารจัดการได้ใน 3 ระยะคือ ก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังเกิดภัยพิบัติ อย่างไรก็ตามต้องติดตามสถานการณ์รายปี แล้วเอาข้อมูลมาปรับเปลี่ยนการทำงาน การทำนโยบายด้วย จะช่วยให้จัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA
“Pain Points Solution” คือคำตอบในการจัดการภัยพิบัติ
ที่ผ่านมารัฐพยายามอย่างหนักที่จะถอดแพตเทิร์นออกมาประกาศ “ห้ามเผา” แต่ทำไมคนไทยก็ยังสูดฝุ่นกันอยู่ทุกปี ? “รศ.ชูโชค” บอกว่า การห้ามเผา ห้ามยาก เนื่องจากชาวบ้านยังมีความจำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การไล่งูหาของป่า การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
แนวคิด “การจัดการเชื้อเพลิง” เช่น ใบไม้ในป่า หรือ เศษซากการเกษตร เป็นทางเลือกใหม่ที่จะแก้ปัญหาฝุ่นควันได้ถึงต้นตอ เพราะถ้าวันนี้เรารับซื้อเชื้อเพลิงมาเผาในระบบปิด แม้ชาวบ้านจะเผา ฝุ่นจะน้อย ด้วยเชื้อเพลิงลดลงแล้ว ขณะเดียวกันชาวบ้านก็มีรายได้ ส่วนผู้รับซื้อก็สามารถนำวัสดุชีวมวลไปผลิต “ไบโอชาร์” ขายต่อได้อีก ที่สำคัญยังได้คาร์บอนเครดิตด้วย
เพียงแต่การศึกษาค้นคว้าแบบนี้ ซึ่งมีอยู่เยอะมาก กลับขยายผลไม่ได้ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงอยากฝากว่า ข้อมูลที่เรามีต้องเอาไปขยายผลกลั่นกรองให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและตอบโจทย์ (Pain Points Solution) เพราะนี่เป็นคำตอบสำหรับการจัดการภัยพิบัติ
“ปัญหาของฝุ่นในภาคเหนือ คือเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้จัดการ ถ้าจะแก้ไข ต้องจัดการเศษซากใบไม้ หรือจากเกษตรกรรมให้ได้ หรือสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงใหม่ สาเหตุหลักมาจากแม่น้ำปิงล้นตลิ่ง เพราะการขยายตัวของเมือง ทำให้หน้าตัดของแม่น้ำน้อยลง การจัดการน้ำท่วมที่เชียงใหม่จึงอาจเกี่ยวพันกับผังเมือง”
รศ.ชูโชค อายุพงศ์
ปัญหาตอนนี้คือ บางพื้นที่อย่าง จ.เชียงรายหรือแพร่ ยังไม่มีการเก็บข้อมูลสำคัญ เพื่อเอาไว้เป็นฐานข้อมูลในการประเมินและตัดสินใจในการจัดการภัยพิบัติครั้งต่อ ๆ ไป เช่น การเก็บข้อมูลระดับน้ำท่วม (Flood Mask) ที่จะช่วยประเมินได้ว่าถ้าเกิดน้ำท่วมอีก ระดับน้ำน่าจะประมาณเท่านี้ แล้วเราต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร แต่ประชาชนน่ารัก บางคนเห็นข้อความบนเฟซบุ๊ก ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านมาวัดระดับน้ำให้ ซึ่งในฐานะนักวิชาการเราก็นำข้อมูลตรงนี้มาทำต่อ เพียงแต่ในส่วนของภาครัฐ ก็แล้วแต่ฝีมือของผู้บริหาร
“ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ อาสาสมัครต้องเข้าไป ต้องเหนื่อย และวันนั้นภาพการระดมเจ็ตสกีเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้ทำลายเรื่องการกู้ภัยของภาครัฐแทบหมดไปเลย เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดอีก ถ้าเราเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ และคนเชื่อถือ เพราะฉะนั้นเรื่อง ‘ข้อมูล’ เราต้องใช้ และคนดูแลพื้นที่ต้องพร้อม”
รศ.ชูโชค อายุพงศ์
ต้องเข้าใจการใช้ “ข้อมูล” ทุกระดับ เพื่อภัยพิบัติที่รับมือได้
ข้อมูลจะทรงพลังที่สุดเมื่อถูกใช้ร่วมกัน แต่แล้วใครควรจะเจ้าภาพ ? “รศ.ทวิดา” ชวนให้ยอมรับว่า ภาครัฐงานค่อนข้างล้นมือและไม่ค่อยกล้ารับงานมาทำ ดังนั้นไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งต้องทำอะไร ทุกคนต้องช่วยกัน และต้องมีคนสั่งการ เพื่อลดความรุนแรงของภัยพิบัติให้ได้มากที่สุด เพราะมีเงื่อนไขของเวลาและความเป็นความตายพ่วงอยู่ด้วย
“คนเรามีนายได้คนเดียว แต่ไม่จำเป็นต้องมีนายคนเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจการใช้ข้อมูลในทุกระดับ แล้วให้คนที่รู้ดีที่สุดในพื้นที่ เป็นคนใช้ช้อมูลก้อนนี้ แล้วช่วยกันจัดการ”
รศ.ทวิดา กมลเวชช
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ ยกตัวอย่างการจัดการภัยพิบัติในกรุงเทพฯ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ให้เห็นภาพชัดอีกว่า กรุงเทพฯ พยายามให้ทุกหน่วยงานในสังกัดนำ “ข้อมูล” มาใช้ และพยายามเชื่อมต่อข้อมูลกับแต่ละหน่วยงาน เช่น ข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ทรัพยากร ของสำนักงานเขตแต่ละพื้นที่, ข้อมูลการนำจ่ายกระแสไฟ ของการไฟฟ้านครหลวง, และ สถานีดับเพลิงทั่วเมือง ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพฯ เพื่อทำ “แผนที่ความเสี่ยง” (BKK Risk Map) เปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้
แต่การเตือนภัยคนนับหมื่นให้รู้พร้อมกัน ยากกว่าที่คิด เพราะการเตือนภัยมักนำพาความตื่นตระหนกติดไปด้วย และภาวะข้อมูลท่วมท้น (Overload) อาจทำให้คนละเลยประกาศที่สำคัญไปได้ ดังนั้น “ข้อมูล” ต้องแปลงข้อมูลให้เข้าใจง่าย ตรงกับความต้องการของประชาชน และใช้ได้จริงตั้งแต่ก่อนภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังเกิดภัยพิบัติ
ก้าวต่อไปของการจัดการภัยพิบัติด้วย “ข้อมูล”
โจทย์ใหญ่ของการแก้ปัญหาภัยพิบัติต่อจากนี้ คือ “ภาวะโลกร้อน” ที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน รวมถึง “กฎหมาย PDPA” ที่อาจทำให้การรับมือภัยพิบัติมีอุปสรรคอยู่บ้าง
ภัยพิบัติมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้อย่างไรให้กระทบคนและเกิดความสูญเสียให้น้อยที่สุด นั่นคือต้องลด “ความเปราะบาง” และ “ความล่อแหลม” ลงให้ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐและทุกภาคส่วนที่จะทำร่วมกัน
- ทำข้อมูลให้ใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เพียงแต่เป็น “Open Data” ต้องเป็น “Open Fair Data” ให้ทุกคนค้นหาง่าย เข้าถึงได้ นำไปใช้ได้เลย และใช้ซ้ำได้
- ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานและประชาชนได้จริง
- มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียน หรือแจ้งเหตุภัยพิบัติที่สามารถทำหน้าที่คัดกรองและจัดระเบียบข้อมูลได้ เพื่อสรุปข้อมูล ประเมินความเสี่ยง และช่วยเหลือต่อไป
- ต้องแปลง “ข้อมูล” ให้เข้าใจง่าย ตรงกับความต้องการของประชาชน และต้องพร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้ในทุกช่วงเวลา
- รวมข้อมูลภัยพิบัติให้ประชาชนสามารถเช็กได้ง่าย และมีระบบแจ้งเตือนหากตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยงผ่านทั้งช่องทางดิจิทัล เช่น โทรศัพท์มือถือ และ การแจ้งเตือนแบบอนาล็อก (Analog) เพื่อไม่ให้การแจ้งเตือนกับประชาชนตกหล่น กรณีที่สัญญาณดิจิทัลล่ม
- ลดความเปราะบางและความล่อแหลมของแต่ละพื้นที่เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ
- แก้ปัญหาภัยพิบัติโดยยึดหลัก“Pain Points Solution” เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
- ปรับปรุงการบริหารจัดการไฟป่า
-
- อำพรางกล้องจับภาพ “มือเผา” เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีการอำพรางกล้อง ทำให้คนการจับกุมคนเผาป่าเป็นไปได้ยาก
- เพิ่ม “สถานีน้ำ” สำรองน้ำ เนื่องจากบางพื้นที่ยังไม่มี หากจะขนน้ำไปก็ยาก ทำได้อย่างล่าช้า
“การเปิดข้อมูลให้ทุกคนมาใช้งานได้ อาจต้องเป็นมากกว่า ‘Open Data’ คือ ‘Open Fair Data’ ที่ทุกคนต้องสามารถใช้งานได้ โดยไม่จำเป็นต้อง ‘Cleansing’ ใหม่ ไม่ต้องทำซ้ำกัน ให้เสียทั้งงบประมาณ เวลา และต้องมี ‘Portal’ ที่แชร์ข้อมูล ให้ทุกคนใช้ซ้ำได้ ทั้งหมดนี้ต้องผนวกเข้าด้วยกัน แล้วเราจะจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA
อนาคตการจัดการภัยพิบัติอยู่ในมือของทุกคน ! ในเมื่อภัยพิบัติมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก โจทย์ที่เราต้องร่วมกันเขียนสมการใหม่คือ เราจะใช้ข้อมูลที่มีให้ดีพอได้อย่างไร ? เพื่อลดความสูญเสียและผลกระทบของผู้คนให้น้อยที่สุด