สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี โดยจากสถิติการวัดสภาพอากาศผ่านดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) พบว่าในช่วงฤดูฝุ่นในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จาก พ.ย.-มี.ค. ของทุกปี ดัชนีคุณภาพอากาศปรับสูงขึ้นทุกปี และใน 2 ปีหลังสุดมีค่าเกินระดับมาตรฐาน
ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษ กำหนดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน (50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) เป็นระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ ค่า AQI ระดับ 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เป็นระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ในช่วงฤดูฝุ่นในปีนี้ ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยสูงกว่าระดับ 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ (18-26 ม.ค. 2568) และสูงกว่าปีก่อน ดัชนีอยู่ที่ 108
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาสโดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพของคนกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน PM 2.5 ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งในมิติของการรักษาอาการเจ็บป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในมิติของการดูแลป้องกันสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ
แม้ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ แต่ก็ถือเป็นค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น
การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยใช้สมมติฐานว่า คนกรุงเทพฯ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน และประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน และมีค่ารักษา ค่าเดินทาง เฉลี่ยต่อคน 1,800-2,000 บาท รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาจมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกันอยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท
ขณะที่ หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่นๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้นเป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ยังประเมินออกมาเป็นมูลค่าผลกระทบอย่างชัดเจนได้ยากยังคงมีอยู่ ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว หรือความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง ตลอดจนผลต่อภาพรวมของประเทศที่ทางการมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การแพทย์ และอื่นๆ ในเวทีโลก
จากปัญหามลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับมลพิศทางอากาศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้น คือ มลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM 2.5 จากสถิติ พบว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศทั้งหมด 13 โรค ทั่วประเทศมีอยู่ราว 12 ล้านคน และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ซึ่งความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยดังกล่าวอาจทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตาม
สำหรับ สถานการณ์ฝุ่นในประเทศไทย ในแต่ละภูมิภาค มีวัฏจักรในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
- ภาคเหนือ มกราคม-พฤษภาคม
- ภาคอีสาน มกราคม-พฤษภาคม
- ภาคใต้ กรกฎาคม-กันยายน
- กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พฤศจิกายน-มีนาคม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เพราะชีวิตคนคือเศรษฐกิจ: มุมมองเชิงนโยบายจากโรคโควิด-19 สู่ฝุ่นพิษ PM 2.5
แก้ปัญหา PM 2.5 ได้ผล รัฐบาลต้อง “จริงจัง-กระจายอำนาจ”
5 บทเรียน ข้อเรียนรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย