จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อไทยทำให้บางพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ประเมินว่า พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน จะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ในเดือน ก.ย.67 และ ต.ค.67 มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ ในช่วงเดือน พ.ย.67 และ ธ.ค.67
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร รายได้ของครัวเรือน ธุรกิจ/ผู้ประกอบการ รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง/ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น ถนนทรุด สะพานขาด เป็นต้น
ภายใต้สมมติฐานน้ำท่วมแต่ละพื้นที่กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 15 วัน และเกิดความสูญเสียต่อ Gross Provincial Product (GPP) ในสัดส่วนประมาณ 20% ของจังหวัดนั้น ๆ ยกเว้นบางพื้นที่อย่างเชียงราย ที่น้ำท่วมซ้ำหลายรอบ ระยะเวลาจะมากกว่าเฉลี่ย และเชียงใหม่ ที่เกิดน้ำท่วมในเขตเมือง สัดส่วนความสูญเสียต่อ GPP จะมากกว่าเฉลี่ย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 อาจคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือ 0.16% ของ GDP ประเทศ
ทั้งนี้ ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวกินระยะเวลานานขึ้น หรือขยายขอบเขตไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบในกรณีเลวร้าย อาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP ประเทศ
แม้ในแง่เม็ดเงินผลกระทบปี 2567 จะน้อยกว่าปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยซึ่งในปีนั้นกินระยะเวลานาน กระทบโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและภาคการผลิตเป็นหลัก เพิ่มเติมจากภาคเกษตรและครัวเรือน แต่ภัยพิบัติในปีนี้ ก็นับว่ารุนแรงมากโดยเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งความเสียหายหลักส่วนใหญ่จะตกในภาคเกษตร รายได้ของครัวเรือน และการท่องเที่ยวในบางจังหวัด ส่งผลกระทบตามมาต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย คงจะมาจากงบประมาณของภาครัฐและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งคงช่วยหนุนกิจกรรมการก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านได้บางส่วน แต่ขณะเดียวกัน ครัวเรือนคงจำเป็นต้องก่อหนี้ ซึ่งก็จะมีผลกดดันการใช้จ่ายสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ ตามมา
ในระยะข้างหน้า จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ทำให้ภัยพิบัติมีความเสี่ยงจะเกิดถี่และรุนแรงขึ้นอีก ดังนั้น ทุกฝ่ายควรวางแนวทางรับมือ เช่น การมีระบบเตือนภัยที่ชุมชน/ท้องถิ่นเข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุในแต่ละระดับ การทำประกันภัย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยง เป็นต้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ทำไมแผนรับมือภัยพิบัติ จึงไร้ประสิทธิภาพ?
- “ฟื้นฟูเชียงราย” เริ่มต้นใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม
- ยกเครื่องระบบเตือนภัยพิบัติ เพื่อลดความเสียหายจากน้ำท่วมดินถล่ม
ที่มา : วรรณวิษา ศรีรัตนะ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย