ระบบฉีกตั๋ว และรับเงินสด ในการขายบัตรเพื่อเข้าชมอุทยานแห่งชาติ กลายเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะเมื่อปี2562 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการจัดเก็บรายได้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี รวมไปถึงการเวียนเทียนตั๋วเข้าชมอุทยานฯ จนทำให้การนำส่งเงินรายได้ผิดปกติ
“อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงผลักดันโครงการจัดการระบบบริหารจัดการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ หรือ E-National Park เพื่อป้องกันการทุจริต และจดระเบียบรายได้การเข้าชมอุทยานแห่งชาติ เปลี่ยนจากระบบฉีกตั๋วและเจ้าหน้าที่เก็บเงินสด
E-National Park ประกอบด้วย 4 ส่วน
- ระบบ E Ticket จะเป็นระบบการจัดเก็บตั๋วผ่านอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีระบบที่โปร่งใสในการตรวจสอบทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อปิดช่องโหว่ การทุจริต จากระบบฉีกตั๋ว และรับเงินสดของเจ้าหน้าที่
- ระบบจ่ายเงินที่ไม่ใชระบบจ่ายตรงกับเจ้าหน้าที่ โดยจะพัฒนา ระบบใหม่จะรองรับการชำระเงินผ่านเครื่อง EDC และ QR Code พร้อมจัดหาเครื่อง Scan บัตรค่าบริการทันสมัย โดยส่งตรงเข้าธนาคารและธนาคารแจ้งยอดมาไม่ผ่านเจ้าหน้าที่
- พัฒนาระบบการอุนุญาติการจองบ้านพักออนไลน์ จากระบบ E-Ticket พัฒนาต่อยอดจาก Application QueQ ที่ใช้สำหรับจองคิวเข้าอุทยาน
- ติดตั้งจุด Face Scan สแกนใบหน้า เพื่อป้องกันการสับสน นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ
นำร่อง 6 อุทยานแห่งชาติทางทะเล
“อรรถพล” บอกว่า ได้เริ่มนำร่อง 6 อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพราะเป็นอุทยานฯที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากและมีรายได้ค่อนข้างมาก โดยจะติดตั้งระบบทั้งหมด11 จุด ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท โดยเสนอขอจัดสรรงบประมาณในส่วนของงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งจะพร้อมเปิดให้บริการในวันที่ 15 ต.ค. 2568
สำหรับ 6 พื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล ประกอบด้วย
อุทยานฯ อ่าวพังงา บริเวณเขาพิงกัน, อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณเกาะไม้ไผ่ อ่าวมาหยา เกาะปอดะ, อุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน บริเวณเกาเมียง (เกาะสี่) เกาะสิมิลัน (เกาะแปด), อุทยานฯ หมู่เกาะลันตา บริเวณเกาะรอก, อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ บริเวณอ่าวช่องขาด อ่าวไม้งาม, อุทยานฯ ธารโบกขรณี บริเวณเกาะห้อง เกาะเหลาลาดิง โดยจะใช้ระบบสแกนและจดจำใบหน้า
เริ่มระบบ E-ticket วันที่ 15 ต.ค 68
หลังจากที่เริ่มให้บริการ ระบบระบบ E-ticket ในวันที่ 15 ต.ค. 68 ระบบ E-ticket จะช่วยคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติได้ชัดเจน ป้องกันการสวมสิทธิ เนืองจากมีระบบที่เรียกว่า การสแกนใบหน้า (Face Scan) เหมือนการสแกนใบหน้าที่สนามบิน
โดยคนไทยจะเชื่อมข้อมูลกับแอปพลิเคชัน Thai ID ทำให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น แม้ไม่ได้พกบัตรประชาชนก็ยังคงสแกนหน้าได้ ส่วนท่องเที่ยวต่างชาติต้องใช้พาสปอร์ตเวลาท่องเที่ยวอยู่
“เราเพิ่มเติมระบบสแกนใบหน้า ซึ่งหมายถึงต่อไปนักท่องเที่ยวที่เข้าชมอุทยานฯต้องสแกนใบหน้าเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เป็นคนไทย หรือต่างประเทศ ป้องกันการสับสน ลักไก่ และเงินไม่รั่วไหล”
สำหรับแผนในปี 69 ได้เตรียมตั้งจุดสแกนในหน่าบริเวณทางเข้าอุทยานแห่งชาติ คาดว่าจะเพิ่มจุด Face Scan ดังกล่าว 70-80 แห่ง และภายในปี 2570-2572 จะดำเนินการให้ครบอุทยานแห่งชาติ 156 แห่งทั่วประเทศ
“ ตอนนี้ทุกอย่างมีความพร้อมมาก เพราะอนุติงบประมาณในการดำเนินการแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ได้เตรียมเดินหน้า เริ่มประชาสัมพันธ์การใช้ระบบ E-ticket ไปยังบริษัทนำเที่ยว และช่องทางเว็บไซต์อุทยานฯ รวมถึงการอบรมเจ้าหน้าที่ในการใช้ระบบนี้แล้ว”
ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 4,000-5,000 ล้านบาท
การพัฒนาโครงการ E-National Park จะช่วยจัดระเบียบรายได้ของกรมอุทยานแห่งชาติ เนื่องจากที่ผ่านมารายได้ กรมอุทยานแห่งชาติ ในรอบช่วง 12 ปีที่ผ่านมานับจากปี 2557 ถึง ปี 2568 มีรายได้ตั้งแต่ระดับ 696 ล้านบาท จนถึง 2,000 กว่าล้านขึ้นไป ซึ่งมีบางปีโดยเฉพาะในช่วงโควิด 19 มีรายได้น้อยลง ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำของอุทยานแห่งชาติ
ทั้งนี้ระบบ E-National Park จะช่วยให้การจัดเก็บรายได้ที่ดีเพียงพอจะสามารถเพิ่มรายได้เข้าอุทยานฯ 4,000-5,000 ล้านบาท
“รายได้จากการท่องเที่ยวอุทยาน ปี 68 น่าจะเพิ่มมากกว่าปี 67 ประมาณ 2 % กว่า โดยคาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาทในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม รายได้จากการท่องเที่ยวอุทยานฯ ไม่เพียงพอกัมีรายจ่ายประจำที่ต้องคืนให้ท้องถิ่น และจ้างค่าพนักงาน และค่าใช้จ่ายบำรุงอุทยานฯ ซึ่งถือเป็น รายจ่ายประจำประมาณ 1,400-1,500 บาท ทำให้มีเงินเหลือไม่ได้มากนักในนำมาพัฒนาอุทยานฯ”
ขณะการใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติในปีงบประมาณ 68 อยู่ในกรอบวงเงิน 2,199.72 ล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 68.93% และรายจ่ายตามภารกิจ 31.07% ปัจจุบันได้อนุมัติใช้จ่ายไปแล้ว 99.19% ของงบประมาณทั้งหมด โดยที่ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้จ่ายเหล่านี้ได้ที่เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
หลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินอุทยาน
รายละเอียดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติในปีงบประมาณ 2568 พร้อมประกาศปรับอัตราสวัสดิการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับปีงบประมาณ 2568
กรมอุทยานแห่งชาติฯได้อนุมัติโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติไปแล้ว วงเงิน 2,181,811,892 บาท (ร้อยละ 99.19) เป็นโครงการที่ออกแผนปฏิบัติการไปแล้ว 73 โครงการ ในวงเงิน 2,173,204,892 บาท และอยู่ระหว่างออกแผนปฏิบัติการอีก 2 โครงการ วงเงิน 8,607,000 บาท โดยเงินอุทยานแห่งชาติจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- ประเภท ก 5% จำนวน 102.23 ล้านบาท เป็นเงินที่ต้องให้แก่เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลท้องที่ที่เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ
- ประเภท ข 20% จำนวน 316.59 ล้านบาท เป็นเงินงบบริหารจัดการที่จัดสรรคืนให้แต่ละอุทยานแห่งชาติไม่เกิน 30 ล้านบาท/ปี/แห่ง
- ประเภท ค 60% จำนวน 1,222.44 ล้านบาท เป็นเงินงบบำรุงรักษา ใช้สำหรับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ
- ประเภท ง 15% จำนวน 540.55 ล้านบาท เป็นเงินงบฯสำรอง ใช้สำหรับกรณีจำเป็นเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน
สำหรับ 73 โครงการที่ได้รับอนุมัติวงเงิน 2,173.20 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 1,497.67
ล้านบาท (14 โครงการ) และรายจ่ายตามภารกิจ 675.54 ล้านบาท (59 โครงการ) โดยรายจ่ายประจำประกอบด้วย
- เงินที่ให้แก่เทศบาลและ อบต.
- เงินที่จัดสรรคืนให้อุทยานแห่งชาติ
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการอุทยานแห่งชาติและบริการนักท่องเที่ยว
- โครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันรักษาป่า
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol)
- โครงการนักเรียน นักศึกษา ช่วยปฏิบัติงานอุทยานแห่งชาติ
- โครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียว
- โครงการจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่า
รายจ่ายตามภารกิจ ประกอบด้วย
- การจัดซื้อครุภัณฑ์และติดตั้งทุ่น
- การก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก
- การขยายเขตไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภค
- การเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันรักษาป่า
- สวัสดิการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า
- การแก้ไขปัญหาช้าง
- การศึกษาวิจัย การฝึกอบรม และโครงการอื่น ๆ เช่น การผลิตสื่อจัดพิมพ์หนังสือ การดูแลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
- การบำรุงรักษาระบบ E-Ticket และระบบจองที่พัก
ปรับสวัสดิการเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า
นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติฯยังได้ปรับอัตราเงินสวัสดิการสำหรับเจ้าหน้าที่ให้สูงขึ้นและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเพิ่มอัตราการช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตจากการปะทะ ต่อสู้ ลาดตระเวน หรือถูกสัตว์ป่าทำร้าย จากเดิม 500,000 บาท เป็น 1,000,000 บาท และกรณีเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ จากเดิม 400,000 บาท เป็น 500,000 บาท.
รวมถึงปรับเพิ่มอัตราช่วยเหลือกรณีบาดเจ็บทุพพลภาพหรือพิการสูญเสียอวัยวะทั้งสองข้าง จากเดิม 300,000 บาท เป็นสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท และกรณีสูญเสียอวัยวะข้างเดียว เป็นสูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศมีทั้งสิ้น 18,533 คน เป็นข้าราชการ 534 ราย ลูกจ้างประจำ 359 ราย พนักงานราชการ 5,771 ราย ลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน 757 ราย บุคคลภายนอกที่ได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน 3,388 ราย และการจ้างเหมาพนักงาน 7,724 ราย ซึ่งนอกจากสวัสดิการจากกรมอุทยานแห่งชาติฯแล้ว ยังมีกองทุนจากหน่วยงานอื่นที่ให้การช่วยเหลือ และสวัสดิการด้านทุนการศึกษาสำหรับบุตรเจ้าหน้าที่ด้วย
เปิดโซนท่องเที่ยวเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า
สำหรับแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ “อรรถพล” บอกว่า นอกจาการเที่ยวอุทยานแห่งชาติแล้วเรากำลังมีแผนจะพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า บางส่วนที่สามารถเกิดให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้ธรรมชาติได้
ส่วนการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ จะพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และมีการอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อให้ทำงานด้านการบริการได้มากขึ้น
“ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ นอกจากต้องบริการนักท่องเที่ยวแล้ว จะต้องสลับไปทำหน้าที่ในการตระเวนดูแลพื้นที่ป่าไม้ด้วย ไม่ได้แบ่งเจ้าหน้าที่เฉพาะในการดูแลนักท่องเที่ยว โดยในเรื่องนี้กำลังพิจารณาว่าจะจัดระเบียบอย่างไร”
อรรถพลกล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลให้ความสำคัญกับพัฒนาการท่องเที่ยว รวมไปถึงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจชุม ซึ่งการให้บริการนักท่องเที่ยวต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การรองรับการท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและต่างชาติ หมายความว่า จะต้องมีการกำหนดมาตรฐานในการคุ้มครองพื้นที่ และการแก้ไขปัญหาทุกรูปแบบ รวมถึงการบริการด้านการท่องเที่ยว
สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวและการจัดเก็บรายได้ของอุทยานแห่งชาติว่า ในช่วงวันที่1 ตุลาคม 2567-20 เมษายน 2568 มีนักท่องเที่ยวเข้าอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศจำนวน 11.74 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ยังเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ จะนักท่องเที่ยวอินเดีย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง
อย่างไรก็ตาม “อรรถพล “ เห็นว่า การท่องเที่ยวอุทยานฯต้องโปร่งใส ถูกกฎหมาย ไร้ทุจริต ซึ่งกรมอุทยานฯ มีความมุ่งมั่นทำด้วยใจ เพื่อให้การบริหารจัดการอุทยานฯ เป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะมีระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ หรือ E-National Park เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มรายได้การชมอุทยานแห่งชาติได้มากขึ้น
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- จ่อประกาศ 23 อุทยานฯ เพิ่มป่าอนุรักษ์ 3 ล้านไร่
- รัฐบาลให้กลาโหมทำ One Map กำหนดแนวเขตที่ดินรัฐ
- เห็ดเผาะ: ใครทำลายสิ่งแวดล้อม? เมื่อวัฒนธรรมการกินเปลี่ยนไป