ความเคลื่อนไหวล่าสุด
9 พ.ย. 68 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เสนอ เพื่อปรับปรุงมาตรการ EV3 และ EV3.5 ดังนี้
1. เห็นชอบการขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5
- มาตรการ EV3 ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศในปี 2565 – 2568 จากเดิมต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569”
- มาตรการ EV3.5 ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (นอกเหนือจากกรณีรถยนต์นั่งที่ผลิตในประเทศที่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569) จากเดิม ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2571”
2. เห็นชอบการเปลี่ยนวิธีการนับจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยที่ได้มีการส่งออกไปต่างประเทศตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 จากเดิมเป็น “ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน” โดยให้มีผลสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยที่ได้มีการส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป จนถึงวันสิ้นสุดมาตรการ EV3.5 และให้สามารถนับการผลิตชดเชยยานยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่เตรียมส่งออกเป็น 1.5 เท่า ณ วันสิ้นปีได้ โดยผ่อนผันระยะเวลาการส่งออก ได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ในปีถัดไปสำหรับมาตรการ EV3 และ EV3.5 และวางหนังสือค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่มีจำนวนเงินเท่ากับหนังสือค้ำประกันที่ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ได้ยื่นไว้ต่อกรมสรรพสามิต ขณะเข้าร่วมมาตรการฯ และมีระยะเวลา ค้ำประกันเพิ่มเติมอีก 6 เดือน
3. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ ดังกล่าวต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
4. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV3.5 (เพิ่มโรงอุตสาหกรรม) ได้ แม้ประเภทผู้ขอรับสิทธิ หรือ คู่สัญญาของผู้ได้รับสิทธิระหว่างมาตรการ EV3 กับมาตรการ EV3.5 จะแตกต่างกันก็ตาม โดยผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด
5. เห็นชอบการทบทวนการขอรับสิทธิและการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อนำมาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 และมาตรการ EV3.5 (Reverse Exit)
- รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาภายในปี 2565 – 2566 ตามมาตรการ EV3 ที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3 ให้สามารถดำเนินการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวที่ได้มีการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิตจนครบตามจำนวนที่กฎหมายสรรพสามิตกำหนด จะไม่ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าตามมาตรการ EV3 ที่จะต้องมีภาระในการผลิตชดเชยต่อไป
- รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาภายในปี 2567 – 2568 ตามมาตรการ EV3.5 ที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3.5 ให้สามารถดำเนินการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวที่ได้มีการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิตจนครบตามจำนวนที่กฎหมายสรรพสามิตกำหนด จะไม่ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าตามมาตรการ EV3.5 ที่จะต้องมีภาระในการผลิตชดเชยต่อไป
6. เห็นชอบการขอขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
(1) ให้ขยายระยะเวลาการนับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ สำหรับการนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่ และนำไปผลิตหรือประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรีรวมเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศสำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มในประเทศออกไปอีก 6 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2569) โดยจะไม่มีการขยายเวลาเพิ่มเติมอีก และให้ปรับลดสัดส่วนมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่เป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของราคายานยนต์ไฟฟ้า (BEV) หน้าโรงงาน และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2569 เป็นต้นไป และกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของผู้ขอรับการผ่อนผัน ดังนี้
- บริษัทที่ขอรับสิทธิตามมาตรการนี้จะไม่สามารถขอรับเงินสนับสนุนภายใต้มาตรการ EV3.5 ได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยให้กรมสรรพสามิตหยุดการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะ สิ้นสุดการขอขยายระยะเวลา
- ต้องเสนอแผนการจัดหาชิ้นส่วนในประเทศที่ชัดเจน
(2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
ประโยชน์และผลกระทบ
การกำหนดมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะทำให้มีการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สามารถรักษาฐานการผลิตยานยนต์ของประเทศไทยให้สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต และความต้องการของตลาดยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติ ควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ในปี พ.ศ. 2573
ทั้งนี้ การปรับปรุงเงื่อนไขภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 จะสามารถลดผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ ได้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ และมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก และในปัจจุบันแนวโน้มความต้องการยานยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและราคาต่ำลง รวมไปถึงแนวทางการพัฒนาไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society)
คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) จึงได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30@30 สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ที่ได้บรรจุแผนการพัฒนา EV ไว้ในหมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก

โดยมีการตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ หรือรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ซึ่งเป็นที่มาขอชื่อนโยบาย ‘30@30’ นอกจากนี้ยังมีการการส่งเสริมการใช้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ และออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งชิ้นส่วนต่างๆ (EV Hub) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคและของโลก
นโยบายมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 (ปี 2564 – 2565) สร้างความต้องการการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นำร่องส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานรองรับทั่วประเทศ
- ระยะที่ 2 (ปี 2566 – 2568) พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองการผลิตในประเทศ และถือว่าเป็นเป้าหมายการผลิตในระดับ Economy of Scale
- ระยะที่ 3 (ปี 2569 – 2573) ผลิตเพื่อส่งออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ขับเคลื่อนแผนและมาตรการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุตามนโยบาย 30@30
มาตรการจากบอร์ด EV
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2566 บอร์ดอีวีเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 (หรือ EV 3.5) ในช่วงปี 2567 – 2570 โดยรัฐจะมีการให้เงินอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้า ตามประเภทของรถ และขนาดแบตเตอรี่ ดังนี้
- รถยนต์ไฟฟ้า
- ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และแบตเตอรี่น้อยกว่า 50 kWh จะได้เงินอุดหนุน 20,000 – 50,000 บาท/คัน
- ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้เงินอุดหนุน 50,000 – 100,000 บาท/คัน
- ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะลดอากรนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ไม่เกิน 40% ในช่วงปี 2567 – 2568
- ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะจัดเก็บภาษีสรรพสามิต 2% (จากเดิม 8%)
- รถกระบะไฟฟ้า
- ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้เงินอุดหนุน 50,000 – 100,000 บาท/คัน
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
- ราคาไม่เกิน 150,000 บาท และแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป จะได้เงินอุดหนุน 5,000 – 10,000 บาท/คัน
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหารือร่วมกันเพื่อกำหนดอัตราเงินอุดหนุนที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ได้มีการตั้งเงื่อนไขการลงทุนในประเทศ ดังนี้
- ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการจะต้องผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้า ในอัตราส่วน 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตชดเชย 2 คัน) ภายในปี 2569 และเพิ่มเป็นอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตชดเชย 3 คัน) ภายในปี 2570
- แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าและที่ผลิตในประเทศไทยจะต้องได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานตามมาตรฐานสากลจากศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI)