อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยความเสียหายหนัก ทำให้คนเชียงรายสูญเสียทั้งบ้าน พื้นที่ทำกิน การงาน และการใช้ชีวิต รวมไปถึงเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ภัยพิบัติในยุคโลกรวนที่เกิดขึ้นถี่ และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณเตือนดัง ๆ ว่าเราต้องปรับตัว ขณะที่วิธีการรับมือ และรูปแบบการจัดการแบบเดิม ๆ เอาไม่อยู่และไม่เพียงพอ
Policy Watch, The Active, Thai PBS และองค์กรเครือข่าย ได้ใช้โอกาสในช่วงการฟื้นฟูเมืองเชียงราย เปิดเวทีฟังเสียงสะท้อนจากผู้ประสบภัยพิบัติในเขตเมืองเชียงราย อำเภอแม่สาย และพื้นที่สูง ก่อนระดมความคิด จากภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคเอกชน ไปสู่ข้อเสนอมิติใหม่จัดการรับมือภัยพิบัติผ่าน “Policy Forum ครั้งที่ 21 : ฟื้นเมืองหลังภัยพิบัติ CITY RECOVERY >> STRONGER CHIANG RAI เริ่มต้นใหม่ เพื่อเชียงรายเข้มแข็งกว่าเดิม”
โดยมี เตือนใจ ดีเทศน์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา, พร้อมพร จินดาวงศ์ เนตรหาญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง และณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส ดำเนินการสนทนา
ภัยพิบัติเชียงราย 2567 หนักและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
ระดับน้ำที่สูงและไหลเชี่ยวกราก ที่หลากเข้าท่วมบ้านเรือนจนตั้งตัวไม่ทัน ยากเกินที่เรือท้องแบนของหน่วยกู้ภัยจะเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน ต้องอาศัยเจ็ทสกีและหน่วยซีลเข้าไปแทน ทำชาวเชียงรายนับพันครัวเรือนเดือดร้อน ชาวบ้านหลายคนบอกสิ่งที่พยายามก่อร่างสร้างตัวมาหายสาบสูญไปกับตา ซ้ำร้ายยังต้องเผชิญ “โคลน” อีกมหาศาลหลังน้ำลด สร้างความเสียหายหนักเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี
“ชุมชนลาหู่” และ “ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร” พื้นที่ริมน้ำกก เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยหนัก ชาวบ้านสะท้อนว่า ต้องเผชิญกับกระแสน้ำไหลแรงแบบตั้งตัวไม่ทัน พอได้ยินเสียงประกาศตามสายและวิทยุชุมชนน้ำก็จวนตัวแล้ว พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะของน้ำ ไหลหลากมาพร้อมกับดินโคลน คล้ายมาจากเขื่อนมากกว่าธรรมชาติ จึงอยากให้รัฐทบทวนข้อเสนอที่ชุมชนเคยขอไว้ ให้ประสานความร่วมมือกับประเทศเมียนมา เพื่อติดตั้งมาตรวัดน้ำที่ “ท่าตอน” พื้นที่ต้นน้ำกก เพื่อให้คนในชุมชนจะได้รับรู้สถานการณ์น้ำล่วงหน้าและเตรียมตัวอพยพได้ทัน
ส่วนพื้นที่เศรษฐกิจอย่าง “อ.แม่สาย” ก็ประสบกับปัญหาน้ำท่วมขังสูงและทะเลโคลนอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทำสายพานทางการเงิน ตลาดแรงงาน และการท่องเที่ยว หยุดชะงัก เช่นเดียวกับพื้นที่ในอำเภอเมือง จ.เชียงรายอย่าง “เกาะลอย” หลังน้ำลดก็ต้องเจอกับราคาข้าวของแพง โดยเฉพาะอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ขาดตลาด ราคาพุ่ง จนต้องวานญาติหาซื้อส่งไปรษณีย์มาจากกรุงเทพฯ
“ตลอดชีวิต 56 ปีไม่เคยเจอแบบนี้ เมื่อ2 ปีก่อนน้ำท่วมครั้งนึง แต่ยังไม่หนักเท่าไร ปีนี้น้ำสูงจนมิดหลังคาร้านอาหารของผม แล้วก็โดนน้ำพัดไปหมด จนไม่เหลืออะไรสักอย่าง ผมเป็นนักธุรกิจที่ปกติจะอาศัยนักท่องเที่ยวเข้ามาแวะทานอาหาร แต่ตอนนี้หมดเนื้อหมดตัวแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป”
เกษม เจ้าของร้านอาหาร ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย
แม้แต่กระทั่งพื้นที่สูง “บ้านเทอดไท อ.แม่ฟ้าหลวง” ก็หนีไม่พ้นจากภัยพิบัติรอบนี้ ต้องเผชิญกับปัญหาดินถล่ม จนมีผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายรวมแล้วนับสิบคน ขณะที่ชุมชนปกาเกอะญอ “บ้านแควัวดำ” ในอำเภอเมือง จะได้รับผลกระทบในระยะยาว เพราะติดเงื่อนไขการช่วยเหลือของหน่วยงานจากปัญหา “พื้นที่ป่าอนุรักษ์” ทำให้พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่พังทลายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถฟื้นฟูมาได้เมื่อไร
แต่ภาพรวมของปัญหาที่แต่ละชุมชนเจอ และสะท้อนออกมาเหมือนกัน มีหลายประเด็นทั้ง
- บ้านพังและทรัพย์สินเสียหาย ที่อยู่อาศัย ที่นอน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือทำมาหากิน และข้าวของเครื่องใช้จำเป็น เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม หมอน ถูกน้ำพัด เปลื้อนโคลน พังเสียหายหมด
- สูญเสียพื้นที่เกษตรหรือพื้นที่ทำกิน ส่งผลกระทบต่ออาชีพและสภาพคล่องทางการเงิน
- ขาดแคลนสาธารณูปโภค พื้นที่ประสบภัยโดนตัดน้ำตัดไฟ
- ไม่กล้าอยู่ที่เดิม ต้องการพื้นที่ปลอดภัยหรือเหมาะสม แม้บ่อยครั้ง จ.เชียงราย จะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ครั้งนี้หนักสุด และหลายคนได้รับความเสียหายจนหมดเนื้อหมดตัว
- ขาดระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ชุมชนยังใช้วิทยุ เสียงตามสาย และการอ่านสัญญาณจากธรรมชาติ เพื่อแจ้งเตือนภัย ซึ่งไม่ทันการณ์
- ขาดการบูรณาการความช่วยเหลือก่อนเกิดและหลังเกิดเหตุ เสียงของชุมชนไปไม่ถึงรัฐ ทำให้การช่วยเหลือที่มีอยู่มีรอยต่อ
- ปัญหาสุขภาพที่มากับน้ำท่วม เช่น เชื้อรา น้ำกัดเท้า โรคฉี่หนู ตาแดง และโรคเครียด เป็นต้น
- การเยียวยาล่าช้า ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์จังหวัดเชียงรายยังตั้งหลักไม่ได้ หลายบ้านยังจมโคลน ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ
โค้ชนพ อดีตผู้ฝึกสอนทีมหมูป่า อะคาเดมี่ ก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยที่เกือบจะสิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากถูกทั้งน้ำและโคลนพัดพาความเสียหายที่พักอาศัยและทรัพย์สินภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
“น้ำท่วมครั้งนี้ในภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “เต็มคาราเบล” เข้าบ้านไม่ได้ ต้องอยู่ตามวัดกันไปก่อน ผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์กว่าแล้วก็ยังตั้งหลักกันไม่ได้ ชุลมุนกันอยู่ตอนนี้ หมดเนื้อหมดตัว ส่วนเงินจะไปโรงเรียนของลูกก็แทบไม่มี”
นพรัตน์ กันทะวงศ์ อดีตโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี่
จากประสบการณ์สู่ ‘ความรู้’ เชียงรายเคยน้ำท่วมถี่จนย้ายเมืองหนี
นอกจากเสียงสะท้อนของผู้ประสบภัย ยังมีประสบการณ์และข้อมูลความรู้ที่ถูกเติมเข้ามา เพื่อต่อภาพความเชื่อมโยงของเมืองเชียงรายกับการรับมือภัยพิบัติ ทั้งในมิติหลักฐานประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาชาติพันธุ์ การปรับตัวเพื่อความปลอดภัย และการจัดการระบบความช่วยเหลือในช่วงเผชิญภัยพิบัติ
ข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ อภิชิต ศิริชัย นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นำมาอธิบายให้เห็นสภาพพื้นที่ของเชียงรายที่ต้องอยู่กับการรับมือภัยธรรมชาติมาตั้งแต่อดีต ย้อนไปในยุคราชวงศ์มังราย ครั้งนั้นเชียงรายเคยตั้งสะดือเมืองไว้ที่ “ดอยจอมทอง” แต่บริเวณนั้นกลับเกิดน้ำท่วมบ่อยซ้ำซาก จนสุดท้ายต่อสู้กับธรรมชาติไม่ไหว เจ้าเมืองจึงตัดสินใจย้ายศูนย์กลางเมืองไปฝั่งทิศตะวันออกที่น้ำท่วมไม่ถึงและปักหลักสะดือเมืองใหม่ที่ “วัดกลางเวียง” เป็นการย้ายเมืองหนีภัยพิบัติเป็นครั้งแรก
ในช่วงตั้งเมืองใหม่ อิทธิพลของแม่น้ำกกยังกัดเซาะเข้ามาในเขตเทศบาลเมืองเชียงรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางเทศบาลเมืองฯ จึงจ้างวิศวกรชาวต่างชาติเข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อหาทางแก้ปัญหา ซึ่งต่อมามีการปักหลักไม้เพื่อเบี่ยงเส้นทางน้ำออกจากผืนแผ่นดิน โดยให้โค้งแม่น้ำเป็นเส้นตรง ผ่านไปสักระยะเส้นทางเดินของน้ำก็เปลี่ยนแปลง
ไม่เพียงเท่านั้นในสมัยพระยาราชเดชดำรง ขณะนั้นเกิดความแห้งแล้ง ราษฎรไม่มีน้ำใช้ คณะกรมการเมือง มีนายแพทย์วิลเลียม เอ. บริกส์ ให้ความเห็นว่าควรขุดคลองกว้าง 6 เมตร เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำกกเข้ามาในเมือง ต่อมาในฤดูน้ำหลาก น้ำไหลแรง คลองที่ขุดก็ถูกกัดเซาะกว้างขึ้นกลายเป็นแม่น้ำกกสายที่สอง และบริเวณตรงกลางระหว่างแม่น้ำจึงเกิดเป็น “เกาะลอย” และ “เกาะไอซ์แลนด์”
“จะเห็นว่าเกาะลอยถูกขุดมาโดยตลอด ทำให้เกิดการผันน้ำ เปลี่ยนแปลงทางเดินของน้ำ และที่น้ำท่วมมาจาก 3 กระแสบริเวณนั้น ก็เป็นเพราะแม่น้ำกกเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ด้วยฝีมือมนุษย์ และปริมาณน้ำที่มากในปีนี้”
อภิชิต ศิริชัย นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเชียงราย
วิถีชีวิต – ภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ปรับตัว อยู่กับธรรมชาติอย่างปลอดภัย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และธรณีวิทยาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าถ้าเรามี “การเตือนภัย” และความรู้เรื่องการตั้ง “ถิ่นฐานที่ปลอดภัย” ในเชิงวิศวกรรมปฐพีและฐานราก จะช่วยให้เรารับมือกับภัยพิบัติได้ดี มองดูเป็นเรื่องยาก แต่ที่จริงแล้ววิถีชีวิตและภูมิปัญญาชาติพันธุ์ได้สอดแทรกวิธีอยู่กับธรรมชาติอย่างปลอดภัยไว้อยู่แล้ว
- การตั้งถิ่นฐาน ชุมชนริมน้ำจะสร้างบ้านใต้ถุนสูง ไม่มัดหรือไม่สร้างคอกสัตว์เลี้ยง แต่จะปล่อยให้สัตว์หากินตามธรรมชาติ ถ้าเกิดน้ำไหลหลากสัตว์จะสามารถหนีได้ก่อน ขณะที่ชุมชนบนพื้นที่กลาง น้ำขึ้นไม่ถึง บ้านจะเป็นชั้นลอยไม่สูงมาก ข้างล่างเลี้ยงสัตว์ ส่วนในพื้นที่สูงจะสร้างติดดิน กันลม กันหนาว
- วิถีการผลิต ไม่ใช้พื้นที่เกษตรถาวรเพื่อให้ดินได้มีเวลาฟื้นฟู เวลาตัดไม้ ก็ตัดไม่ให้ไม้ตาย และมีวิธีเผาพื้นที่เพาะปลูกไม่ให้เกิดมลพิษ ส่วนการเลี้ยงสัตว์จะให้อิสระ เพื่ออ่านสัญญาณสัตว์ไปด้วย เพราะเมื่อไรที่สัตว์หนี แสดงว่าภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว
- การสำรวจภัยพิบัติตามวิถี การปล่อยสัตว์ตามป่า ชาวบ้านจะอาศัยการเดินตามหาสัตว์เลี้ยง เป็นการลาดตระเวนสำรวจภัยพิบัติไปในตัว
- การอ่านสัญญาณภัยพิบัติจากธรรมชาติ และสรรพสิ่ง เช่น ต้นมะเดื่อ สังเกตที่ผลได้ว่าปีนี้จะน้ำเยอะหรือไม่, ตัวแลน หรือ ตะกวด สังเกตที่สีดำสีเทาของหางอยู่ตรงปลาย กลาง หรือต้นหาง เพราะจะทำให้รู้ได้ว่าปีนี้ฝนจะเยอะช่วงไหน
- วิธีหมุนเวียนโยกย้ายเป็นภูมิปัญญาเพื่อป้องกันตัว การหมุนเวียนและโยกย้ายไม่ได้ทำเฉพาะไร่นาเท่านั้น แต่รวมถึงที่อยู่อาศัยด้วย เพราะเมื่อไรที่สังเกตเห็นความผิดปกติจากสัตว์หรือได้ยินเสียงภูเขาสะอื้นก็ต้องอพยพแล้ว
- มีระบบเยียวยาฟื้นฟู ชาวบ้านเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เอาไว้ เป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดของชุมชน เพราะเมื่อไรที่แร้นแค้นก็สามารถเพาะปลูกลงดินได้
“ชุมชนชาติพันธุ์มีองค์ความรู้ภูมิปัญญารับมือภัยพิบัติ ยกตัวอย่างชุมชนปกาเกอะญอหมู่บ้านห้วยหินลาดใน ไม่มีผู้เสียชีวิต เพราะชาวบ้านอ่านสัญญาณธรรมชาติ พอเกิดเหตุน้ำหลาก รีบใช้เส้นทางลัดตะโกนบอกคนในชุมชนได้ทัน เป็นการเตือนภัยจากวิถีการผลิตและภูมิปัญญาชุมชนชาติพันธุ์”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ เลขาธิการเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
แต่ด้วยเงื่อนไขของสิทธิ “พื้นที่ป่าอนุรักษ์” จำกัดศักยภาพในการเลือกพื้นที่อยู่อาศัย รวมถึงรูปแบบการสร้างบ้าน ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่สามารถทำไร่โยกย้ายถิ่นหมุนเวียน หรืออ่านสัญญาณจากธรรมชาติได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เช่นเดียวกับการเรียนรู้ในการยกระดับรับมือภัยพิบัติมีน้อย ภูมิปัญญาไม่ถูกถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่ ส่วนองค์ความรู้ใหม่ก็เข้าไม่ถึง ทำให้ชาวบ้านมีความรู้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยิ่งเผชิญกับ “ภาวะโลกรวน” ที่ทำให้การคาดการณ์ภัยพิบัติยากแล้ว ยิ่งยากขึ้นไปอีกทวีคูณ
อ่านเพิ่มเติม : ‘ห้วยหินลาดใน’ : เชื่อมโยงภูมิปัญญา – ป่ามี แต่เมื่อธรรมชาติไม่ปราณี ก็เกินจะรับมือ!
หลายพื้นที่ในเชียงรายเปราะบาง แม่สายมีแนวโน้มเกิดดินถล่มอีก
ประวัติศาสตร์ในอดีตที่ส่งผลถึงวันนี้ สอดคล้องกับหลักฐานธรณีวิทยา ที่ รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมปฐพีและฐานราก พบว่าตำแหน่งดินถล่มของเชียงราย นอกเหนือจากจุดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เราพูดถึงกันอยู่ตอนนี้ ยังมีจุดล่อแหลมและเปราะบางอยู่อีก
โดยเฉพาะ “ดอยช้าง” จากการเก็บข้อมูลมา 10 ปี พบการเคลื่อนตัวมากสุดปีละ 50 ซม. ทำให้อาคารบ้านเรือนขยับตัวทรุดลงเรื่อย ๆ หรือหนักกว่าที่ “ดอยแม่สลอง” เดิมมีโรงแรมหนึ่ง แต่ผ่านไป 20 ปีอาคารยุบลงไปเลย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า บริเวณนั้นคือพื้นที่ตามธรรมชาติที่น้ำจะไหลลงมาแล้วกัดเซาะ เรียกว่า “พื้นที่ล่อแหลม” ยิ่งหากเศรษฐกิจบริเวณเหล่านั้นดี มีการสร้างอาคารสูงใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเร่ง “ความเสี่ยง” ให้ดินทรุดยุบตัวลงมา
“เราคุยกับชาวบ้านบนดอยแม่สลองแล้วว่าย้ายไปตรงไหนถึงปลอดภัย แต่ที่นี่ไม่ใช่ชุมชนเดียว พื้นที่แม่สลองนอกยังเจอรอยแยกอีกเยอะ เพียงแต่ว่าภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้ขยับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขยับต่อ”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมปฐพีและฐานราก
ดินถล่มเป็นกระบวนการผุสลายของภูเขาตามธรรมชาติ ที่ดินตะกอนจะสลายแล้วไหลลงมา ซึ่งขึ้นอยู่กับ ความลาดชันความสูงของภูเขา ลักษณะทางธรณีวิทยา ร่องการไหลของน้ำผิวดิน และการใช้ประโยชน์หน้าดิน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเจอปริมาณน้ำที่มากเกินจะรับไหว หรือแผ่นดินไหว ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดภัยพิบัติ
“เวลาที่เราพูดถึงดินถล่ม จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าดินถล่มได้ไหม เพราะไม่ว่าป่าจะสมบูรณ์ขนาดไหน เมื่อฝนตกหนักระดับนึงอย่างไรก็ถล่มได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องเกิดการสไลด์ก่อน เวลาฝนตกหนักเกินปกติ น้ำจะกัดเซาะมวลดินลงไป แต่อย่างไรก็ตามการมีชุมชนดูแลป่า ก็ดีกว่าไม่มี เพราะไม่อย่างนั้น ดินจะราดไหลมาเต็มเลย”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมปฐพีและฐานราก
ทั้งนี้หลักฐานการสลับตัวของชั้นตะกอนบริเวณพื้นที่แม่สายยาวจนถึงกระทั่งฝั่งตะวันออก พบขัอมูลยืนยันว่าภัยพิบัติดินถล่มในเชียงรายรอบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้นสิ่งที่จะทำถัดไปคือหาว่าอายุของชั้นตะกอนแต่ละชั้นมีรอบการเกิดเท่าไร เพื่อตัดสินใจต่อว่าเราจะทำอย่างไรกับพื้นที่ตรงนี้ แต่ในนามของนักธรณีวิทยาและวิศวกรมองว่าพื้นที่ตรงนี้ล่อแหลม ถ้าเกิดเหตุบ่อยครั้งอาจไม่ควรอยู่ ซึ่งเราอาจต้องปรับเพื่อความปลอดภัย
การจัดการระบบความช่วยเหลือภัยพิบัติ ต้องเร็ว–เชื่อมโยงทั้งระบบ
เราไม่สามารถห้ามธรรมชาติไม่ให้เกิดอุทกภัยหรือธรณีภัยได้ แต่ที่น่าสนใจคือเราจะมีวิธีการรับมืออย่างไร สมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา ได้บอกเล่ากระบวนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่เชียงรายของจิตอาสา แบ่งออกเป็น 3 ช่วงตอน
- การป้องกัน ในการลดปริมาณน้ำท่วม ต้องมีพื้นที่ป่าดูดซับน้ำได้ แต่ภัยพิบัติเชียงรายครั้งนี้ซับซ้อน เนื่องจากปริมาณน้ำสูงมาก
- การเผชิญเหตุ ปีนี้นวัตกรรมการให้ช่วยเหลือเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการนำเจ็ตสกี เฮลิคอปเตอร์เข้าช่วยเหลือ หรือการระดมหน่วยซีลช่วยอพยพชาวบ้านที่ติดอยู่ภายในบ้าน
- การฟื้นฟู หลังน้ำเริ่มลด สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่คือ “ทะเลโคลน” ซึ่งเครื่องจักรตักโคลนดูดโคลนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ยังต้องการอีกมาก ซึ่งต้องการงบประมาณและการเชื่อมโยงสนับสนุนจากรัฐและเอกชน เพราะถ้าเราคิดตามที่เทศบาลแม่สายกำหนด อาจใช้เวลานานถึง 6 เดือน แต่แล้วชาวบ้านจะอยู่อย่างไร ดังนั้น 1 เดือนโคลนต้องหมดจากซอยทั้งหลาย เพราะถ้าถนนเข้าไม่ได้ การเข้าบ้านล้างบ้านก็ย่อมไม่ได้ ขณะเดียวกันการจัดระบบความช่วยเหลือจะต้องนำไปสู่การวิเคราะห์ภาพใหญ่ สู่การออกแบบทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันที่ต้องดูแลพื้นที่ป่า เพื่อดูดซับน้ำ การเผชิญเหตุที่ต้องออกแบบการช่วยเหลือให้สอดคล้องกับภัยพิบัติ และการฟื้นฟู ซึ่งเป็นงานใหญ่และต้องทำงานแข่งกับเวลา
“เมื่อเราล้างบ้านได้แล้ว อย่าเพิ่งยอมให้กระแสตก ต้องจัดการไปถึงท่อระบายน้ำ ไม่เช่นนั้นถ้าฝนตกลงมาอีก จะเกมทันที ส่วนอีกเดือนก็หนาวแล้ว เป็นวิกฤตเข้ามาอีก เพราะฉะนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนุ่งห่ม และเงินเยียวยาต้องรีบเข้ามาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา”
สมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา
หลักการ 3 ระยะ เพื่อการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอข้างต้นสอดคล้องกับ Samuel Lim ผู้จัดการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง ในฐานะอดีตผู้วางแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุสึนามิที่ญี่ปุ่น ได้ยกหลักการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ซึ่งมี 3 ระยะ ได้แก่
ระยะเร่งด่วน (บรรเทาภัยพิบัติ)
ระยะเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้มีที่อยู่อาศัย ได้รับอาหารและน้ำดื่มที่มีคุณภาพ เป็นช่วงเวลา 1-3 เดือนแรกของการช่วยเหลือ ที่จะมีคนช่วยเยอะและทำง่ายสุด
- สนับสนุนงบประมาณ จัดอุปกรณ์ และระดมกำลังคน ทำความสะอาดล้างบ้าน ขนโคลน และขนขยะให้ชาวบ้านกลับไปอยู่ได้โดยเร็ว
- มีครัวกลางให้ผู้ประสบภัยได้รับอาหารที่ดี
- การวางแผนการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและครอบคลุม รวมถึงหาเจ้าภาพในการบูรณาการความช่วยเหลือ
ระยะฟื้นฟูองค์รวม
ระยะฟื้นฟูองค์รวมด้วยการเชื่อมโยงชุมชน สังคม เศรษฐกิจ การจัดการด้านผังเมือง และฟื้นฟูสุขภาพจิตและร่างกาย เป็นช่วงหลังจัดการภัยพิบัติระยะเร่งด่วนไปแล้ว 1 เดือน ทำควบคู่ และดำเนินการต่อเนื่องยาวไปจนถึง 9 เดือน ซึ่งทำได้ยากเพราะหลายหน่วยงานไม่ค่อยอยากเข้ามาคุย บูรณาการร่วมกัน
- สร้างกลไกร่วมในการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูภัยพิบัติ
- การเยียวยาความเสียหายต่าง ๆ ของประชาชนและภาคธุรกิจ
- การฟื้นฟูจิตใจและสุขภาพ
“สิ่งสำคัญสุดในระยะฟื้นฟู คือสุขภาพจิตและสุขภาพกายกาย เพราะเมืองสร้างด้วยคน แล้วถ้าไม่ฟื้นฟูคนแล้วเมืองจะฟื้นฟูได้อย่างไร เพราะแม้แต่ความหวังยังไม่มีเลย แล้วเขาจะเดินต่อไปได้อย่างไร”
Samuel Lim ผู้จัดการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง
ระยะสุดท้าย (เข้มแข็งยั่งยืน)
ระยะจัดทำแผนระยะยาวเพื่อเดินหน้าสู่ความยั่งยืน ใช้เวลาหลังระยะฟื้นฟูองค์รวมจบลงแล้วประมาณ 3 เดือน
- สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังและรับมือภัยพิบัติ
- มีศูนย์การเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
- วางแผนปรับการอยู่อาศัยและวิถีไปตามลักษณะความล่อแหลมของพื้นที่ รวมถึงสร้างข้อตกลงชุมชน แก้ปัญหาข้อจำกัดของเกฎหมายที่อยู่ทับซ้อนพื้นที่ป่า
- วางแผนปรับพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อป้องกันผลกระทบจากภัยพิบัติ
- อาศัยโครงสร้างทางวิศวกรรมในการจัดการพื้นที่ป่า เพื่อลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
- พัฒนากลไกสร้างองค์ความรู้ใหม่
“ฟื้นเศรษฐกิจ” เรื่องสำคัญอันดับต้น ช่วยให้คนตั้งหลัก–เดินหน้าต่อได้
วิกฤตน้ำซัดโคลนถล่มซ้ำครั้งนี้ เป็นปัญหาใหญ่ที่เกินกว่าใครจะจัดการได้ด้วยตัวเองคนเดียว ในการระดมความคิดเห็นของภาคเอกชน ประชาสังคม และกลุ่มนักวิชาการพัฒนานวัตกรรมการจัดการภัยพิบัติ ได้แลกเปลี่ยนความเห็นนำมาสู่ข้อเสนอในการฟื้นฟูเชียงรายให้เข้มแข็งกว่าเดิม
โดย จิรพัฒน์ ดวงแสงทอง เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย มองว่าสิ่งแรกที่ควรจะทำอย่างเร่งด่วนคือ “การเร่งรัดฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถตั้งหลักได้” ไม่ว่าจะจัดการขยะสิ่งปฏิกูล, การควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์ทำความสะอาด เพราะสินค้าหลายอย่างกำลังฉวยโอกาสขึ้นราคา และการป้องกันทรัพย์สินของประชาชนจากการโจรกรรม ที่จะเป็นปัญหาซ้ำเติมผู้ประสบภัย
ต่อจากนั้นควรเดินหน้าต่อใน “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ให้ดีกว่าเดิม” ทั้ง “การให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยในระยะเวลาหนึ่ง” เพื่อให้คนสามารถฟื้นตัว สภาพจิตใจ และสภาพคล่องทางการเงินได้ รวมถึง “การปรับระบบการเตือนภัยให้สามารถอพยพได้ทัน” เพราะระบบที่มีอยู่เดิมมีศักยภาพแค่เพียงพอต่อการหนีเอาชีวิตรอด แต่ทรัพย์สินไม่สามารถขนย้ายได้ทัน ทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงรายมองว่าอย่างน้อยระบบจะต้องแจ้งเตือนได้ก่อน 24 ชั่วโมงล่วงหน้า โดยอาจร่วมมือกับประเทศเมียนมาเพื่อตั้งมาตรวัดน้ำที่ “ท่าตอน” พื้นที่ต้นน้ำกก
“การทำความสะอาด ล้างเมืองเชียงราย” เป็นสิ่งสำคัญที่ภาคีเครือข่ายต่างมองว่าต้องเร่งเดินหน้าเพื่อให้ชาวเชียงรายกลับบ้านได้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับ สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์สำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในฐานะของผู้นำโครงการจัดเก็บขยะตอนกลางคืน เห็นด้วยเช่นกันว่า เชียงรายกำลังต้องการให้มีการทำความสะอาดเมือง 24 ชั่วโมง เพราะกรมควบคุมมลพิษประเมินปริมาณขณะตอนนี้มีอยู่แล้วราว 50,000 ชิ้น ขยะตกค้างอีก 40,000 ชิ้น จึงจำเป็นมากที่ต้องเร่งเก็บขยะ
แต่จากกองขยะมีสิ่งหนึ่งที่ “สืบสกุล กิจนุกร” มองว่าอาจเป็นตัวจุดประกายความหวังท่ามกลางความห่อเหี่ยวและหดหู่ คือ “ตุ๊กตา” ที่นำมาอาบน้ำ ทำความสะอาดใหม่ เรียกว่า “ตุ๊กตาวาดหวัง”
“ตุ๊กตาจากกองขยะนำท่วมที่นำมาซักล้างใหม่ ตอนนี้มีประมาณ 120 ตัว ผมอยากประกาศตามหาเจ้าของ ตอนนี้เราหดเหี่ยว ห่อหู่ อยากให้มีความหวัง ตุ๊กตาวาดหวังนี้จะช่วยได้”
สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์สำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
เบื้องต้นเฟซบุ๊กเชียงราย จะช่วยประกาศหาเจ้าของ แต่ถ้าสุดท้ายยังไม่สามารถส่งคืนเจ้าของได้ หรือมีตุ๊กตาจำนวนเยอะมากที่สามารถนำไปสร้างประโยชน์ต่อได้อีก อาจนำไปพูดคุยกับภาคีเครือข่ายกันต่อเพื่อนำไปทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่อไป
นอกจาก “ชาวเชียงราย” อีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือ “แรงงานข้ามชาติ” แม้เขาจะไม่ใช่คนในประเทศ แต่อย่างไรก็อยู่กับเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การช่วยเหลือกันเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาต้องการ กว่า 100 ครัวเรือน ทั้งที่นอนและเครื่องครัว จะช่วยให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง
อ่านเพิ่มเติม : “ตุ๊กตาวาดหวัง” แปลงขยะเป็นกำลังใจ ส่งถึงคนเชียงรายในช่วงฟื้นฟูเมือง
น้ำท่วมไม่ใช่ปัญหาของใครคนเดียว ต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วม
ด้านตัวแทนของภาคเอกชน พรเทพ อินทะชัย กรรมการรองเลขาธิการและเลขาธิการหอการค้าภาคเหนือ หอการค้าไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการการจัดการน้ำ มองเช่นเดียวกันว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ ที่ต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนในระดับจังหวัดหรือระดับประเทศ ที่เรียกว่า “กรอ.จังหวัด” และ “กรอ.ประเทศ” จัดการ ซึ่งเบื้องต้นที่ประชุมได้เสนอ 12 ทางแก้ไปยังรัฐบาลดังนี้
- มีแผนการจัดการและการกู้ภัย ซึ่งต้องมีการจัดลำดับการจัดการและซักซ้อมในทุก ๆ ปี
- มีแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นหลังน้ำท่วม จัดระบบชลประทานก่อนและหลังน้ำท่วม เช่น การติดตั้งสัญญาณเตือนอุทกภัยเพื่อให้พร่องน้ำและถ่ายน้ำออกได้อย่างทันท่วงที ซึ่งปัจจุบันมีติดตั้งที่ลาวแล้วแต่ยังขาดในเมียนมา
- รัฐควรลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้คงทนต่อภัยพิบัติ เช่น ถนน สะพาน เขื่อน ฝาย คลอง และคันกั้นน้ำ เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุทีไรกลับได้ยินแต่ข่าวว่าคันกั้นน้ำนี้แตกแล้ว หรือเขื่อนแตกแล้ว ดังนั้นต้องกลับไปดูเรื่องมาตรฐานของสิ่งที่มีอยู่ว่ายังดีอยู่หรือไม่
- กระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ หาแผนรับมือภัยพิบัติของเขตเศรษฐกิจ
- สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน
- ให้ความสำคัญ ความเท่าเทียมกัน และความเป็นเป็นธรรมกับผู้ประสบภัยทุกกลุ่ม
- เร่งเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบภัย
- สนับสนุนการศึกษาและพัฒนาแรงงาน
- ฟื้นฟูคลอง หนอง และบึงน้ำต่าง ๆ
- ส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในการจัดการปัญหาน้ำท่วม
- มีแผนฟื้นฟูระยะยาว เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีแก่ผู้ประสบภัย มีประกันภัยพิบัติ มีโครงการพัฒนาแรงงาน เพื่อให้ชาวบ้ายคลายความกังวลใจว่าเราจะยังอยู่รอด
เสนอแผนประเมินพื้นที่ปลอดภัย เป็นวาระสำคัญของเชียงราย
อีกหนึ่งการช่วยเหลือเยียวยาที่สำคัญ สยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เปิดเผยว่า หน่วยงานมีเมนู “ช่วยเหลือภัยพิบัติเร่งด่วน” ให้สภาองค์กรชุมชนตำบลหรือกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล สำรวจว่าใครได้รับผลกระทบที่อยู่อาศัยจากภัยพิบัติบ้าง แล้วองค์กรจะอนุมัติเงินช่วยเหลือลงไปหลังละ 18,000 บาท
แต่เงินสนับสนุนนี้เป็นไปเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเร่งด่วนและชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังได้และนั่นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้การป้องกันภัยพิบัติเป็นวาระสำคัญระดับจังหวัด หรือการประเมินว่าพื้นที่ไหนในเชียงรายที่ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยง แล้วมาทำแผนขยับที่อยู่อาศัยหากตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยงระยะยาว 5 – 10 ปี
“เรามีบทเรียนจาก บ้านห้วยขาบ จ.น่าน แล้ว เขาย้ายทั้งหมู่บ้านเพื่อหนีภัยดินถล่ม ผมเคยเสนอว่าเราต้องเอ็กซเรย์เชียงรายทั้งจังหวัดว่าพื้นที่ไหนอยู่ได้หรือไม่ได้ แต่พอน้ำท่วมจบหลายคนก็ไม่สนใจ ดังนั้นเราควรสนับสนุนชาวบ้านให้พูดคุยเรื่องภัยพิบัติที่อยู่อาศัย เพราะถ้าคุณไม่มีบ้านเลขที่หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า รัฐก็ให้งบช่วยซ่อมบ้านไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขราชการ สุดท้ายกลับมารับเงินสนับสนุนหลักหมื่นบาท ก็ไม่เพียงพอ แถมยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”
สยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
เสนอ สช.ดูแลสุขภาพกาย ฟื้นคืนจิตใจที่แตกสลาย
ส่วนข้อเสนอด้านสุขภาพกายและใจ จารึก ไชยรักษ์ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มองว่า “การฟื้นฟูสุขภาวะทางสังคมและสุขภาพจิต” เป็นสิ่งสำคัญ แต่กลับยังไม่ถูกพูดถึงและขับเคลื่อนในประเด็นดังกล่าวมากนักทั้งในรูปแบบนามธรรมและรูปธรรม
ชุมชนสามารถตั้งวงพูดคุยเพื่อหา “ข้อตกลงชุมชน” ได้ แล้วเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจะนำข้อเสนอเหล่านั้นไปดำเนินการกันต่อ
อย่างไรก็ตาม เตือนใจ ดีเทศน์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) เสนอแนะด้วยว่า อยากให้ สช.ประเมินและเยียวยาสุขภาพทั้งกายและใจที่เกิดขึ้นหลังจากน้ำท่วม และวางแผนระยะยาวเพื่อฟื้นชีวิตและสภาพจิตใจที่แตกสลายของชาวบ้านให้กลับคืนมาด้วย
“เรื่องสุขภาพ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นหลังน้ำท่วม และสุขภาพใจที่เสื่อมโทรม อยากให้ สช.เป็นผู้ประเมินและเยียวยา รวมถึงวางแผนระยะยาว ว่าจะช่วยคนที่จิตใจแตกสลาย เพราะหมดเนื้อหมดตัวอย่างไร ทั้งที่เป็นรูปธรรมและจิตใจ”
เตือนใจ ดีเทศน์ มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
ส่งเสริมนวัตกรรม จัดการน้ำท่วม
ภัยพิบัติครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเรามีข้อมูลเพื่อรับมือปัญหาน้ำท่วมดินถล่มน้อยมาก ทีมนักวิชาการด้านข้อมูลและการพัฒนานวัตกรรม ประกอบด้วย ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ผศ.มงคลกร ศรีวิชัย จากศูนย์วิศวกรรมสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา และ วิทยาศักดิ์ รุจิวรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เล็งเห็นว่าการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะพัฒนาต่อ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบแจ้งเตือน การเชื่อมโยงปัญหาให้นำไปสู่ความช่วยเหลือ เช่น บริการหาช่างหรือแม่บ้านหลังน้ำท่วม เป็นต้น รวมถึงนำเสนอองค์ความรู้ต่าง ๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องพัฒนาให้ทุกคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็น
นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำไปใช้ได้ในพื้นที่เชียงรายเท่านั้น ยังเป็นจุดตั้งต้นของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทยให้นำไปประยุกต์ใช้ได้อีก
“แอปพลิเคชันหรือเทคโนโลยีที่มีอยู่สามารถเตือนภัยได้ในระดับหนึ่ง ปัญหาคือข้อมูลลุ่มแม่น้ำกกเรามีน้อย สะท้อนถึงองค์ความรู้ในการพัฒนานวัตกรรมยังขาด เช่น มีแต่ข้อมูลพยากรณ์อากาศวิเคราะห์วันที่ฝนมีแนวโน้มว่าจะตก ขณะที่ข้อมูลจากภาพถ่ายทางอากาศ มีแต่ของ GISTDA ซึ่งเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียวต่อวัน ถือว่ายังน้อยต่อการประเมินการรับมือภัยพิบัติ รวมถึงยังขาดระบบบันทึกข้อมูลความเดือดร้อน และการพัฒนาให้ทุกคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็น”
วิทยาศักดิ์ รุจิวรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ยังร่วมมือกันจัดทำแบบสำรวจออนไลน์เพื่อให้ผู้ประสบภัยพิบัติได้เข้าไปสะท้อนความเสียหาย เพื่อประเมินผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจ ส่งต่อให้ภาครัฐพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยหรือความเสียหาย
“เมื่อมี ศปช.ส่วนหน้า ก็ต้องมี ศปช.ชุมชน ของตัวเอง เพื่อแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกันว่าเราสูญเสียอะไรไปบ้าง เพื่อให้ผู้ที่มาทำงานกับเรา รู้ว่าเขาควรมาเติมอะไร เราเลยทำลิงก์กรอกข้อมูลความเสียหายขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะไปถูกปักหมุดบนแผนที่ จากนั้นผู้ที่มาบริจาคสมทบทุน อาสาสมัคร หน่วยซ่อมสร้าง จะมาเติมเต็ม ทำให้คนเข้าไปอยู่บ้านอย่างปลอดภัย”
ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ผู้ประสบภัยน้ำท่วมสามารถเข้าไปทำแบบสำรวจได้ (คลิก) เพียงตอบปัญหาของระดับน้ำท่วมว่าเราโดนท่วมวันที่เท่าไร เวลาประมาณกี่โมง กี่วัน และลึกประมาณกี่เซนติเมตร
“ตอนนี้เราอยู่ในช่วงฟื้นฟูระยะแรก ต้องทำความสะอาด ส่งข้าวน้ำ ควบคุมราคาสินค้า แล้วก็ต้องมีฐานข้อมูลความเดือดร้อน ระยะต่อมาคือระยะกลางที่เราต้องเตรียมตัววางแผน แก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยที่ทำกินและสร้างกลไกการมีส่วนร่วม ส่วนสุดท้ายคือระยะยั่งยืน วางแผนรับมือป้องกันและมีศูนย์ฉุกเฉินต่าง ๆ การมีนโยบายและเครือข่ายที่เข้มแข็งจะเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่จะฟื้นฟูเชียงรายให้เข้มแข็งกว่าเดิม”
พร้อมพร จินดาวงศ์ เนตรหาญ จากบริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง
“เตือนใจ ดีเทศน์” ปิดท้ายวงระดมความเห็น ที่นำมาสู่คำตอบร่วมกันของคนเชียงราย ว่าภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา การจัดการรูปแบบเดิมไม่สามารถต่อกรกับมวลน้ำขนาดใหญ่และดินโคลนมหาศาลเหล่านี้ได้ 1 พ.ย.นี้ ร่วมปักหมุดเปิดเมืองเชียงราย ฟื้นคืนชีวิต จิตใจ และเศรษฐกิจ ด้วยนวัตกรรมการการจัดการภัยพิบัติที่เกิดจากการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมออกแบบของคนทุกภาคส่วน