“เราเริ่มรู้สึกว่าการเกษียณเป็นจุดหนึ่งในช่วงชีวิตของมนุษย์ ที่เหมือนเราปิดสวิตช์ไฟไป …เมื่ออายุ 65 ปุ๊บมันเหมือนถูกตัดฉับไปเลย ว่าจากนี้ไปคุณถือเป็นคนที่ไม่สามารถทํางานได้ โดยไม่มีเหตุผลอะไรเลยนอกจากอายุ”
เป็นข้อความที่สะท้อนถึงความกังวลในการขาดรายได้ และความกลัวว่าเงินเก็บของตนเองจะไม่เพียงพอในช่วงชีวิตหลังเกษียณจวบจนสิ้นอายุขัยของมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่บอกกับทีมวิจัยทีดีอาร์ไอ ในการศึกษาโครงการการยกระดับการออมผ่านช่องทางตลาดทุน
ความห่วงกังวลนี้ อาจเป็นความกลัวลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในความคิดของคนไทยจำนวนมาก
การออมพอเกษียณ จึงเป็นหนึ่งในวาระทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะที่ผู้มีส่วนได้เสียทุกคนควรให้ความสำคัญ
วาระการออมพอเกษียณ อาจแบ่งความท้าทายออกเป็นสามระดับใหญ่ ได้แก่ (1) ระดับบุคคล ปัญหาอคติเชิงพฤติกรรมในระดับบุคคล ที่ทำให้ออมไม่เพียงพอ (2) ระดับรัฐ ปัญหาความทั่วถึงของมาตรการสนับสนุนการออม ผู้คนจำนวนมากยังคงขาดการเข้าถึงมาตรการสนับสนุนเหล่านี้ และ (3) ระดับสังคม ปัญหาความเชื่อมั่น และการส่งเสริมโอกาสในการลงทุนในตลาดทุน
ความท้าทายระดับบุคคล: การรู้ว่าการออมเพื่อเกษียณเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้
จากการสำรวจคนไทยทั่วประเทศ พบว่า มีคนไทยเพียง 16% – 19% เท่านั้นที่สามารถทำตามแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณที่ตนได้วางเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกัน 45% – 48% มีการคิดหรือวางแผนเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ และอีกส่วนหนึ่ง ประมาณ 16% – 20% ที่ยังไม่ได้เริ่มทำ ข้อค้นพบข้างต้นชี้ให้เห็นถึงภาวะความท้าทายของประเด็นการออมเพื่อเกษียณ ซึ่งเป็นเสมือนปัญหา “รู้ว่าดี แต่ยังทำไม่ได้”
ปัญหาระดับบุคคลอีกส่วนหนึ่งที่ควรได้รับความสนใจ คือปัญหาของอคติเชิงพฤติกรรม (Behavioral Bias) กรณีตัวอย่างหนึ่งคือ อคติละเลยอัตราดอกเบี้ยทบต้น (Exponential Growth Bias) งานศึกษาโดยทีดีอาร์ไอ ในปี 2565 ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า วัยแรงงานไทยกว่า 53% ไม่ตระหนักถึงภาวะที่เงินออมของตนสามารถทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไปอันเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยทบต้น สอดคล้องกับผลการค้นพบของธนาคารแห่งประเทศไทยในปีเดียวกัน และงานศึกษาโดยทีดีอาร์ไอในปี 2567 ซึ่งพบว่า คนไทยมีความรู้ด้านการคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้นอ่อนแอที่สุด
ความท้าทายระดับบุคคล จึงเป็นการค้นหาเครื่องมือที่แปลงทัศนคติที่ผู้คนต่างรู้และเข้าใจว่าเป็นเรื่องดี ให้เป็นการปฏิบัติ ผ่านมาตรการเสริมสร้างความรู้ หรือเครื่องมือที่ช่วยลดทอนอคติอย่างเหมาะสม เช่น เครื่องมือการส่งเสริมการออมแบบค่าตั้งต้น (Default Option) หรือการกระตุกคิด (Nudge) ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ข้อพิจารณาสำคัญคือการไม่ตระหนักถึงเรื่องออม อาจมีปัจจัยอื่น ๆ ควบคู่ด้วย เช่น ปัจจัยเกี่ยวกับช่วงอายุ ที่วัยหนุ่มสาวอาจไม่ตระหนักภาพยาวถึงการเกษียณบ้างนัก หรือปัจจัยเชิงสถานะทางเศรษฐกิจ ที่กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง ต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบที่มากล้น จนทำให้การเก็บเงินออมเป็นไปได้ยาก
1. ความท้าทายระดับรัฐ: ขาดระบบการออมเพื่อเกษียณที่ครอบคลุมแรงงานทั้งระบบ
จากการมีอยู่ของอคติเชิงพฤติกรรม รัฐและนายจ้าง ก็ก้าวเข้ามามีบทบาทร่วมสนับสนุนการออม กองทุนการออมเพื่อการเกษียณ (Retirement Saving Funds) ในแรงงานหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งออกแบบมาเพื่อครอบคลุมกลุ่มข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งออกแบบมาเพื่อครอบคลุมกลุ่มแรงงานในระบบที่มีนายจ้างเป็นนิติบุคคล และระบบกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ออกแบบมาเพื่อครอบคลุมกลุ่มแรงงานที่ไม่อยู่ในสองกลุ่มข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า โดยหลักการทั้งสามกองทุน น่าจะครอบคลุมแรงงานทั้งระบบเศรษฐกิจ
แต่ทว่าในทางปฏิบัติ ความท้าทายในเชิงของความทั่วถึงของมาตรการสนับสนุนการออมเพื่อเกษียณสำหรับวัยแรงงานที่เหมาะสม อาจเป็นความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งที่สังคมไทยไม่ควรมองข้าม สถิติพบว่า แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงประสบปัญหาการเข้าถึงระบบการสนับสนุนการออมเพื่อเกษียณเหล่านี้
ในกลุ่มแรงงานซึ่งเป็นสมาชิกของหรือสมาชิกของระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 11.9 ล้านคน พบว่า มีแรงงานเพียง 2.9 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 24% ของกำลังแรงงานในระบบที่เข้าถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้น
ขณะที่กลุ่มแรงงานอิสระ หรือแรงงานที่ไม่มีนายจ้างเป็นนิติบุคคล ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 26.8 ล้านคน พบว่ามีเพียง 2.8 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของกำลังแรงงานเท่านั้นที่เป็นสมาชิกของ กอช.
2. ความท้าทายระดับสังคม: ความเชื่อมั่น และการส่งเสริมโอกาสในการลงทุนในตลาดทุน
ในประการสุดท้าย การออมไม่พอเกษียณ อาจไม่ได้เป็นปัญหาของปัจเจกที่มีอคติและไม่อดออม หรือปัญหาของนโยบายภาครัฐด้านการออมที่ไม่ทั่วถึงเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นปัญหาที่ต้องการการร่วมมือกันของสังคม (Collective Action) ในการเสริมสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงการทำให้ตลาดทุนของไทยเป็นที่น่าดึงดูด
การสำรวจโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าสัดส่วนของคนไทยที่ลงทุนใน กองทุนรวม ตราสารทุน และตราสารหนี้ คิดเป็นเพียง 3% ของประชากรคนไทยทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งการสำรวจเพิ่มเติมโดยทีดีอาร์ไอชี้ให้เห็นว่าสาเหตุที่คนไทยไม่ลงทุนในสินทรัพย์คือเรื่องของการขาดความรู้ และขาดความเชื่อมั่น หรือมีภาพจำของตลาดทุนที่ไม่ดี ไม่โปร่งใส นอกจากนี้ บางกลุ่มพูดถึงการมองตลาดทุนเป็นเรื่องไกลตัว และขาดเครื่องมือที่ช่วยทำให้เข้าใจ หรือวิเคราะห์การลงทุนได้
ความท้าทายในระดับสังคม จึงเป็นความต้องการในการผลักดันมาตรการที่จะส่งเสริมให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนได้อย่างมีเหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งอาจต้องการบทบาทที่มากกว่าปัจเจกในการเพิ่มอัตราการออม หรือรัฐในการส่งเสริมทำให้ระบบสนับสนุนการออมทั่วถึง แต่อาจหมายบทบาทเชิงรุกของผู้มีส่วนได้เสียในสังคม เช่น เอกชนรายใหญ่ต่าง ๆ และสมาคมธุรกิจ ในการดึงเอาการลงทุนและสร้างโอกาสการลงทุนดี ๆ ให้คนไทยจำนวนมากได้เข้าถึง การสนับสนุนมาตรการส่งเสริมความเชื่อมั่น การเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลและคุ้มครองผู้ลงทุนรายย่อย รวมถึงการดึงดูดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงข้อมูลวิเคราะห์ และเข้าใจข้อมูลลงทุนต่าง ๆ และตัดสินใจอย่างรอบด้านด้วยตนเอง และเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้