เมื่อ 4 มิ.ย. 2568 คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง “กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ….” ปรับปรุงขั้นตอนและอัตราการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา เพื่อลดภาระประชาชนและปรับจำนวนเงินให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ
การกำหนดหลักเกณฑ์และการเยียวยาใกม่ เป็นการปรับจากกฎหมายเดิม ฉบับพ.ศ. 2546 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2559 ซึ่งเฉลี่ยปรับปรุง 10 ปีครั้ง
ทั้งนี้ ตาม “พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544” และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีสาระสำคัญเป็นการให้ความช่วยเหลือบุคคล 2 กลุ่ม ได้แก่
- ผู้เสียหายในคดีอาญา บุคคลที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น
- จำเลยในคดีอาญา บุคคลที่ถูกฟ้องคดีข้อหากระทำความผิดอาญา และถูกจำคุกในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมาได้มีการถอนฟ้องหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องว่าจำเลยไม่มีความผิด
สำหรับกฎกระทรวงได้กำหนดให้การจ่ายค่าตอบแทนบุคคล 2 กลุ่มนี้ เช่น กรณีผู้เสียหายบาดเจ็บจะได้รับค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท หรือกรณีจำเลยไม่ถึงแก่ความตายจะได้รับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาลให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท
จำเลยที่ไม่ผิดและผู้ตกเป็นเหยื่อในคดีอาญาสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจริงกลับพบว่า ที่ผ่านมาผู้เสียหายและจำเลยบางราย ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการรักษาพยาบาลเกินกว่าจำนวนเงินที่กฎหมายกำหนด บางรายไม่สามารถจ่ายในส่วนที่เกินได้ จึงเลือกที่จะปฏิเสธการเข้ารับการรักษา อีกทั้งการรับเงินทดแทนมีความยุ่งยากซับซ้อนและสร้างภาระให้กับผู้เสียหาย
ยกตัวอย่าง กรณีเหตุการณ์กราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2565 ในการเยียวยาผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตนั้น มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าอัตราในการช่วยเหลือเยียวยาค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการสูญเสียและไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพและสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อีกทั้ง ขั้นตอนเยียวยาล่าช้าและซับซ้อนเป็นภาระแก่ประชาชนในการที่จะต้องแสดงตนเพื่อขอรับค่าตอบแทนอีกครั้งหลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว เนื่องจากการยื่นคำขอความช่วยเหลือ จะต้องมาติดต่อขอรับบริการ 2 ครั้ง (ครั้งที่ 1 ยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ยื่นขอรับเงิน) ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก มีภาระค่าใช้จ่าย และได้รับเงินล่าช้า
ดังนั้น หากร่างกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณพิจารณา และประกาศใช้ จะมีสาระสำคัญดังนี้
ค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย
- ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา คำนึงถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิดและสภาพที่ผู้เสียหายได้รับ รวมถึงโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย (คงเดิม)
- ค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของผู้เสียหาย) ได้รับค่าตอบแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 30,000 – 100,000 บาท) พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย โดยคำนึงถึงค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท) ค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท)
- ค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต มีค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 80,000 บาท (เดิมไม่เกิน 40,000 บาท) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 50,000 บาท (เดิมกำหนดไม่เกิน 20,000 บาท)
- ค่าตอบแทนความเสียหายอื่น โดยคำนึงถึงความเสียหายทางกายหรือจิตใจ หรือความเสียหายอื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ไม่เกิน 100,000 บาท (เดิม ไม่เกิน 50,000 บาท)
- ค่าตอบแทนการสูญเสียอวัยวะหรือความพิการ ไม่เกิน 300,000 บาท (กำหนดขึ้นใหม่) เช่น
- ทุพพลภาพ 300,000 บาท
- แขนขาดข้างหนึ่ง/เท้าขาดสองข้าง 245,000 บาท
- ขาขาดข้างหนึ่ง 225,000 บาท
- มือขาดข้างหนึ่ง 185,000 บาท เป็นต้น
- ค่าขาดประโยชน์เสียโอกาสในการทำงานตามปรกติ ให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดที่ประกอบการงาน นับแต่วันที่ไม่สามารถทำงานได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี (คงเดิม)
ค่าตอบแทนแก่จำเลย
- ค่าตอบแทนผู้เสียหายแก่จำเลยในคดีอาญา ให้คำนึงถึงพฤติการณ์ของคดี ความเดือดร้อนที่ได้รับและโอกาสที่จำเลยจะได้รับการชดเชยความเสียหายจากทางอื่นด้วย (คงเดิม)
- กรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต แต่จำเลยเสียชีวิตจากการถูกดำเนินคดี ค่าทดแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 100,000 บาท) พิจารณาค่าตอบแทนจำเลย โดยคำนึงถึงค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท) ค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท)
- กรณีจำเลยเจ็บป่วยเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี เสียหายไม่ถึงกับเสียชีวิต มีค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 80,000 บาท (เดิม 40,000 บาท) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (คงเดิม)
- ค่าขาดประโยชน์เสียโอกาสในการทำงานตามปรกติในระหว่างถูกดำเนินคดีให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดที่ประกอบการงาน นับแต่วันที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ (คงเดิม)
- ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี ได้แก่ ค่าทนายความให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดำเนินคดี ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท (คงเดิม)
การขอรับเงิน
หากร่างกฎหมายนี้ประกาศใช้ จะช่วยลดภาระและสร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชน จากเดิมที่ประชาชนต้องมาติดต่อ 2 ครั้ง ครั้งแรกยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ขอรับเงิน ลดขั้นตอนจาก 2 ครั้ง แก้ไขให้เหลือแค่ไปยื่นคำขอครั้งเดียวเท่านั้น
ผอ.สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา (ใน กทม.) หรือ ผอ.สำนักงานยุติธรรมจังหวัด (ในจังหวัดอื่นๆ) จะเป็นผู้ลงนามสั่งจ่าย ในรูปแบบเช็ค หรือ โอนผ่านบัญชีธนาคาร ผู้ขอไม่ต้องเดินทางไปรับเงินเอง
เยียวยาเหยื่ออาชญากรรมและจำเลยที่ไม่ผิดเป็นหน้าที่ของรัฐ
เนื่องจากรัฐมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกล่วงละเมิดในทางอาญา และมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิประชาชนที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น ซึ่ง “ผู้เสียหาย” สมควรได้รับความดูแลจากรัฐในรูปแบบค่าตอบแทนเยียวยา
เช่นเดียวกัน “จำเลย” ซึ่งก็คือประชาชนที่ถูกฟ้องคดีต่อศาลว่าได้เป็นผู้กระทำความผิด และถูกคุมขังในระหว่างพิจารณาคดี และเมื่อต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด จำเลยมีสิทธิที่จะต้องได้รับค่าชดเชยเยียวยาจากรัฐ
แม้กฎหมายจะลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและเพิ่มวงเงินทดเเทน หากแต่กฎหมายยังไม่ครอบคลุมไปถึงจำเลยได้รับการปล่อยตัว แม้ไม่ต้องถูกคุมขังก็จริง หากแต่จำเลยต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน ขึ้นศาล เสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี มีภาระเพิ่มและสูญเสียรายได้จากการทำงาน หากแต่รัฐยังไม่ได้ขยายการดูแลครอบคลุมไปถึงกรณีนี้
อีกทั้งกฎหมายเดิมให้สิทธิเฉพาะ “จำเลย” ที่ถูกศาลพิพากษายกฟ้องเท่านั้น ไม่ได้รวมไปถึง “ผู้ต้องหา” หรือบุคคลที่ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจหรือการพิจารณาของพนักงานอัยการ ยังไม่ถูกฟ้องต่อศาล หากแต่ผู้ต้องหาบางรายถูกควบคุมตัวในเรือนจำแล้ว ก่อนได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากพิจารณาสอบสวนแล้วไม่ได้กระทำความผิด
นอกจากนี้ การขังจำเลยและผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนพิจารณาคดี หลายคนถูกคุมขังอยู่ในสภาพที่ไม่ดี อาจถูกใส่กุญแจมือ และสวมเครื่องแบบนักโทษ ทำให้ดูเหมือนเป็นผู้กระทำผิด แม้ศาลยังไม่ได้พิพากษา อีกทั้งในเรือนจำหรือสถานที่ควบคุมตัวบางแห่งไม่ได้แยกพื้นที่ระหว่างจำเลย-ผู้ต้องหากับผู้ถูกพิพากษาแล้วว่ามีความผิด และด้วยระบบยุติธรรมที่ล่าช้าก็ทำให้จำเลย-ผู้ต้องหา ต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลานาน ซึ่งจากสำรวจสถิติทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 มิ.ย. 2568 มีผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างการไต่สวน-พิจารณา และสอบสวนมากถึง 29,984 ราย
กฎหมายไม่ครอบคลุม “คดีไม่สิ้นสุด”
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงร่างกฎหมายนี้ว่า หลักการของกฎหมายตัวนี้ข้อดีคือ บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียหายที่ไม่ใช่เป็นความผิดของตัวเอง จำเลยในคดีอาญา เป็นการบรรเทาความเสียหายให้กับผู้บริสุทธิ์ในคดีที่รัฐเป็นผู้กล่าวหา คืออัยการเป็นโจทก์ ประชาชนเป็นจำเลยและต้องติดคุก
ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่รัฐกล่าวหา รัฐก็ต้องชดใช้ รวมถึง “ผู้ต้องหา” ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาในชั้นตำรวจ ยังไม่ฟ้องศาล แต่ขอให้ศาลขังไว้ก่อน ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี เมื่อไม่มีพยานหลักฐานว่ากระทำความผิดแต่ติดคุกไปแล้ว ก็จะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายใหม่
อย่างไรก็ดี ตามหลักการตามของกฎหมายใหม่นี้ จะต้องเป็นคดีความที่ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น ถ้ายังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์หรือฎีกา ยังไม่ถือว่าคดีสิ้นสุด และศาลต้องมีคำสั่งให้ยกฟ้อง ด้วยเหตุว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับเงินค่าชดเชยของจำเลยในคดีอาญา
เงินชดเชยไม่รวมถึงคดีที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุว่า หลักฐานไม่เพียงพอ ขาดอายุความ พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ หรือพยานโจทก์ไม่มาศาล ก็จะไม่ได้รับเงินชดเชย
“มีหลายคดีที่กว่าศาลฏีกายกฟ้อง พิพากษาว่าไม่ได้กระทำความผิด บางคนก็ตายไปแล้วในคุก บางคนออกมาเป็นคนพิการ”
สิทธิประกันตัว เป็นวิธีแก้ที่ถูก ไม่ใช่เยียวยา
กฤษฎางค์ กล่าวว่า ถ้าตราบใดที่กระบวนการยังไม่ถึงที่สิ้นสุด จำเลยยังอยู่ในเรือนจำอยู่ อย่างเช่น ทนายอานนท์ นำภา และผู้ต้องขังคดีทางการเมืองหลายคน ยังต้องอุทธรณ์และฎีกาอยู่ เว้นเสียแต่ว่าจะยอมรับสารภาพเพื่อให้คดีถึงที่สุด ซึ่งการที่ยอมรับสารภาพว่ากระทำความผิด แต่ก็ทำให้เสียสิทธิในการได้รับเงินชดเชย กฎหมายนี้ก็จะไม่ได้ช่วยจำเลยกลุ่มนี้เลย
การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องที่สุด ควรเป็นเรื่องของการให้สิทธิในการประกันตัว หรือการปล่อยตัวระหว่างสู้คดีมากกว่า ยกเว้นบางกรณีที่มีเหตุที่ให้ประกันตัวไม่ได้จริงๆ ตามกฎหมาย เช่น จำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จะไปฆ่าพยาน หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน
ขณะเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ต้องปรับปรุงสภาพเรือนจำให้ผู้ที่กำลังสู้คดีไม่ได้รับความเดือดร้อนมากเกินไป เช่น การรักษาพยาบาล หรือ การให้ญาติเยี่ยม การรักษานอกเรือนจำเพราะความสามารถในการรักษาของโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีอยู่อย่างจำกัด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
กระบวนการยุติธรรม “เรื่องใหญ่” แก้ทุจริต
ส่องร่างแผนแม่บทฯ ยกบริการด้านยุติธรรม “ดิจิทัล”
สำรวจความต่าง 4 ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม