คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ฉบับที่ 4 พ.ศ. พ.ศ. 2566 – 2569 ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) เสนอ โดยให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแผนแม่บทนี้ไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางการดําเนินงาน รวมทั้งใช้เป็นกรอบแนวทางจัดทําและเสนอคําของบประมาณของหน่วยงานตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน
ขณะเดียวกันให้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสํานักงบประมาณ (สงป.) สนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่สอดคล้อง และสนับสนุนมิติ การบริหารงานและเป้าหมายของ (ร่าง) แผนแม่บทฯ และใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณ แก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน รวมถึงให้สํานักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพยช. (ร่าง) แผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้รับผิดชอบดําเนินการประสาน สนับสนุน และติดตามประเมินผลการดําเนินงานตาม
พลิกโฉมบริการด้านยุติธรรมสู่ดิจิทัล
สำหรับ (ร่าง) แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2566 – 2569 ที่กระทรวงยุติธรรม เสนอมาในครั้งนี้ เป็นการดําเนินการต่อเนื่อง จากยุทธศาสตร์ที่ 5 การขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมด้วยดิจิทัล ของแผนแม่บทการบริหาร งานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562 – 2569 เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายทิศทางการดําเนินงาน และแนวทางประสานความร่วมมือในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้มีความต่อเนื่องเป็นระบบ เชื่อมโยง และเกิด การใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า
ทั้งนี้ (ร่าง) แผนแม่บทฯดังกล่าว มุ่งเน้นการพลิกโฉมของระบบบริการด้านยุติธรรมสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการประชาชน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่ยุทธศาสตร์ที่ 5 มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน
ร่างแผนแม่บทฯมี 3 มิติ 7 เป้าหมาย 7 ตัวชี้วัด
(ร่าง) แผนแม่บทฯ ฉบับนี้ มีเป้าหมายภาพรวม สร้างความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยการยกเลิก การใช้กระดาษ ลดค่าใช้จ่าย ลดขั้นตอนระยะเวลา เกิดความเข้าใจและสามารถเข้าถึงในระบบ กระบวนการยุติธรรม เพิ่มขีดความสามารถของระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อตอบสนองการปฏิบัติงานของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมให้มีคุณภาพ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนานโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้มีกรอบการดําเนินงานแบ่งออกเป็น 3 มิติ 7 เป้าหมาย 7 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย
มิติที่ 1 มุ่งให้ความสําคัญกับการให้บริกาชนที่มีประสิทธิภาพ (User Experience)
เป้าหมายที่ 1 คือ การประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรให้ประชาชนเข้าใจกระบวนการยุติธรรม โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น พัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อสร้างการรับรู้เพื่อตอบสนองการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้รับบริการในทุกรูปแบบ การจัดทําแพลตฟอร์มการให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเกี่ยวกับสิทธิที่ประชาชนจะได้รับ การให้คําปรึกษาผ่านระบบอัตโนมัติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติเมื่อถูกหมายจับหรือถูกดําเนินคดี เป็นต้น
ขณะเดียวกันพัฒนาช่องทางเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารองค์กรที่หลากหลายในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ เช่น คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิกส์ (Infographics) รวมทั้งพัฒนาระบบ โมบายแอปพลิเคชัน (Mobile Apps) และเว็บไซต์กลาง เพื่อประชาสัมพันธ์รับฟังความคิดเห็นประชาชน และสื่อสารองค์กร รวมถึงสร้างเครือข่ายสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบสารสนเทศ การขาดความรู้ความเข้าใจของประชาชน ตลอดจนความเหลื่อมล้ำทางสังคม
สำหรับตัวชี้วัด หรือ ค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของผู้รับบริการในกระบวนการยุติธรรมได้รับการรับรู้และมีความเข้าใจต่อกระบวนการยุติธรรม
เป้าหมายที่ 2 คือ การสร้างนวัตกรรมในกระบวนการยุติธรรม และมีช่องทางที่เข้าถึงสะดวก โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น ออกแบบและพัฒนาการบริการประชาชนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล (e – Service) โดยกําหนดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และระยะเวลาการให้บริการที่ชัดเจน ลดกระบวนการที่ไม่จําเป็น และพัฒนาระบบงานดิจิทัลแบบอัตโนมัติ (e – Service) ในการให้บริการประชาชน และเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างหน่วยงานเพื่อให้บริการงานในกระบวนการยุติธรรมแบบครบวงจร (One Stop Service) โดยรวมระบบบริการไว้ที่เดียว และนํา Al Technology และ Virtual Assistant มาใช้ในการดําเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การให้คําปรึกษาทางกฎหมายเบื้องต้น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและเอกสาร เป็นต้น
รวมถึงพัฒนาช่องทางการเข้าถึงบริการที่สะดวกให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่ออํานวยความสะดวกในการเข้าถึงทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งจัดให้มีช่องทางการรับข้อร้องเรียนที่เข้าถึงได้สะดวกและการตอบสนองกลับต่อข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันพัฒนาระบบติดตามการดําเนินการและสถานะคดี (Case Management) เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามสถานะคดีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส รวมถึงผลักดันให้มีศูนย์พยากรณ์สถานการณ์อาชญากรรมแห่งชาติ ทําหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทําฐานข้อมูลอาชญากรรม พยากรณ์สถานการณ์อาชญากรรม และเสนอแนะให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางป้องกันอาชญากรรม
สำหรับตัวชี้วัด หรือ ค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของผู้รับบริการในกระบวนการยุติธรรมมีความพึงพอใจในการเข้าถึงและได้ประโยชน์จากการให้บริการพื้นฐานของภาครัฐ
มิติที่ 2 พัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมสู่ความเป็นเลิศ (Operation Excellence)
เป้าหมายที่ 1 คือ การบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น จัดทําแผนงบประมาณบูรณาการเพื่อการเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยีระหว่างหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย แผนงาน และแนวทางการดําเนินงานที่ประสานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลที่จําเป็นสําหรับการบริหารงานกระบวนการยุติธรรมระหว่างหน่วยงาน โดยพัฒนาการเชื่อมโยงระบบ เทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างหน่วยงานและพัฒนาศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center: DXC)
ขณะเดียวกัน พัฒนา ปรับปรุงคุณภาพ และสร้างกลไกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยผลักดันให้เกิดการบันทึกข้อมูลที่จําเป็นในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้เอื้อต่อการเชื่อมโยงข้อมูลและการทํางานระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจนมากขึ้นและแสวงหาแนวทางความร่วมมือได้หลากหลายมากขึ้น
สำหรับตัวชี้วัด หรือ ค่าเป้าหมาย อยู่ที่ปร้อยละ 80 ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมบรรลุความสําเร็จของการดําเนินงานในการบูรณาการ และแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศในกระบวนการยุติธรรม ในระดับคะแนนที่ 4
เป้าหมายที่ 2 คือ การสร้างนวัตกรรมในกระบวนการยุติธรรม และมีช่องทางที่เข้าถึงสะดวก โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น ปรับเปลี่ยนการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไปสู่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลา การปฏิบัติงาน ใช้งานง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน รวมทั้งพัฒนาช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในการค้นหาและติดตามข้อมูล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวก
รวมถึงพัฒนาระบบข้อมูลกระบวนการยุติธรรมด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยนําระบบเทคโนโลยี AI มาใช้ในการปรับปรุง กระบวนการทํางาน เช่น การแปลงเสียงเป็นข้อความ การบันทึกจับกุมอัตโนมัติ (แปลงเสียงให้เป็นรายงานเอกสารได้เลย โดยพนักงานไม่ต้องพิมพ์เอง) เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาระบบฐานข้อมูลศูนย์ปฏิบัติการฐานข้อมูลการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
ขณะเดียวกันพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลที่คล่องตัว (Agile Management) โดยผลักดันให้หน่วยงาน ในกระบวนการยุติธรรมพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสในการทํางาน รวมทั้งป้องกันการทุจริตต่อหน้าที่ในกระบวนงาน
สำหรับตัวชี้วัด หรือค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมบรรลุความสําเร็จของการดําเนินงานในการพัฒนาปรับปรุงกระบวนงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในระดับคะแนนที่ 4
เป้าหมายที่ 3 คือ การพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสำหรับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น จัดทําแผนพัฒนาสมรรถนะบุคลากรด้านดิจิทัลในกระบวนการยุติธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม โดยบริหารจัดการที่อิงสมรรถนะ (Competency Based Management) รวมทั้งทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างและตําแหน่งงาน ทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มีการกําหนดสมรรถนะหลัก (Core Competency) ตามตําแหน่งงาน
และพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลในกระบวนการยุติธรรมให้มีความรู้ความเข้าใจต่อระบบเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบตามเป้าหมายของแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการ และบุคลากรภาครัฐของสํานักงาน ก.พ.
รวมถึงปรับปรุงความก้าวหน้าและค่าตอบแทนสายงานวิชาชีพบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยศึกษา วิเคราะห์ ทบทวน และจัดทําเส้นทางความก้าวหน้าในสายงานวิชาชีพ (Career Path) รวมทั้งวางแผนพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานวิชาชีพ (Career Development Plan) สําหรับบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการยุติธรรม
ขณะเดียวกันพัฒนา Digital Mindset ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผลักดันการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยการสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ผลักดันและส่งเสริมให้บุคลากรสามารถผสมผสานทักษะ ประสบการณ์ ร่วมกับการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างลงตัว
สำหรับตัวชี้วัด หรือค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมบรรลุความสําเร็จของการดําเนินงานในการพัฒนา สมรรถนะด้านเทคโนโลยีสําหรับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ในระดับคะแนนที่ 4
มิติที่ 3 ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยจากการถูกโจมตีหรือจากความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติงาน (Cyber Security)
เป้าหมายที่ 1 คือ การสร้างธรรมาภิบาลภาครัฐ (Good Governance) โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น จัดทํา Data Governance ในระบบการบริหารจัดการข้อมูลในการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้นําไปสู่ การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดลําดับความสําคัญ และการส่งมอบบริการสาธารณะที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากที่สุด
รวมถึงจัดทํา Data Governance ให้มีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น การจัดทําสถาปัตยกรรมความมั่นคงปลอดภัย ของข้อมูล การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล การตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล การประเมินความปลอดภัยของข้อมูล การกําหนดเครื่องมือและเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล การจัดทําบัญชีข้อมูลกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น
ขณะเดียวกันสร้างระบบรองรับการดําเนินการตามกฎหมายเพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยจัดทําแนวปฏิบัติในการปกป้องข้อมูลที่ระบุตัวตนได้สําหรับหน่วยงานที่จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานปลายทางทราบได้ว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นของบุคคลใด
สำหรับตัวชี้วัด หรือค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของผู้รับบริการในกระบวนการยุติธรรมมีความเชื่อมั่นต่อธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เป้าหมายที่ 2 คือ การสร้างประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ โดยมีแนวทางการดําเนินการ เช่น จัดทํากลไกการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในทุกกระบวนการ โดยติดตามเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง และแจ้งเตือนภัยถึงสิ่งผิดปกติต่าง ๆ รวมไปถึงวิเคราะห์จุดอ่อนหรือช่องโหว่ของภัยคุกคามที่เกิดขึ้น เพื่อทบทวนแนวทางป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยงานในอนาคต
รวมถึงพัฒนาระบบป้องกันและตรวจสอบการบุกรุก โดยกำหนดมาตรฐานการจัดชั้นความลับข้อมูลซึ่งอธิบายถึงรูปแบบและวิธีการจัดชั้นความลับของข้อมูลให้สอดคล้องกับผลกระทบหรือความเสียหายในด้านต่าง ๆ เช่น เงิน ชื่อเสียง ความมั่นคง เป็นต้น รวมถึงการอนุญาตให้สามารถทําการแลกเปลี่ยนหรือเปิดเผยข้อมูลได้ และพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลในระบบ Cloud กลางในกระบวนการยุติธรรม โดยจัดทํานโยบายข้อมูลซึ่งอธิบาย ถึงบทบาทหน้าที่ ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามปฏิบัติในการบริหารจัดการข้อมูล โดยอาจประกอบด้วยนโยบายความมั่นคง ปลอดภัยและความเป็นส่วนบุคคลของข้อมูล นโยบายคุณภาพข้อมูล นโยบายการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูล นโยบายการเปิดเผยข้อมูล เป็นต้น
ขณะเดียวกันสร้างความตระหนักด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เพื่อจํากัดผลกระทบของเหตุการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ โดยหน่วยงานจะต้องทําการบํารุงรักษาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรองรับการดําเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกําหนดมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น มาตรฐานการเชื่อมโยง และแลกเปลี่ยนข้อมูล มาตรฐาน Framework Cyber Security ในกระบวนการยุติธรรม คู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ตามกรอบแนวทาง Cyber Security เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้นําระบบมาตรฐานสากลมาใช้ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
และพัฒนาระบบยืนยันตัวตนด้วย Digital ID ในระบบ e – Service ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นการสร้างธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ โดยทําให้ระบบการบริหารจัดการข้อมูลในการให้บริการประชาชนมีประสิทธิภาพ
สำหรับตัวชี้วัด หรือค่าเป้าหมาย อยู่ที่ร้อยละ 80 ของหน่วยงานมีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยบรรลุความสําเร็จของการดําเนินงานในระดับคะแนนที่ 4
13 หน่วยงานปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ
ทั้งนี้ ให้มี 13 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าว ประกอบด้วย หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม 7 หน่วยงาน เช่น กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม เป็นต้น และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยเฉพาะการดําเนินการในมิติที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
แนวทางการการขับเคลื่อนและการติดตามประเมินผล ประกอบด้วย
1.แนวทางการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ ขับเคลื่อน ผ่านกลไกคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม (เป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพยช.) ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้นําไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้ง ประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดผลตามจุดมุ่งหมาย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กํากับดูแลทิศทางการพัฒนาตามแนวทางในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องในการยุติธรรม, สำนักงบประมาณ สนับสนุนคําของบประมาณในลักษณะงบประมาณบูรณาการ, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากร และสนับสนุนอัตรากําลัง, สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ส่งเสริมและสนับสนุน Digital Government Transformation, สำนักคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม (ก.ศ.) สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลต่อยอดการวิจัยและพัฒนา และการพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล
2.แนวทางการติดตามประเมินผล ดําเนินการผ่านกลไก คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทฯ พร้อมจัดทํารายงานเสนอต่อ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ทราบเป็นประจําทุกปี โดยสํานักงานกิจการยุติธรรมทําหน้าที่กํากับติดตามตัวชี้วัดของแต่ละเป้าหมายและติดตามผลการดําเนินงานว่าตรงตามแผนหรือไม่ พร้อมปัญหาและอุปสรรคจากการนํา แผนแม่บทฯ ไปใช้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- แผน “ยุทธศาสตร์ข้อมูลไทย” ประชาชนเข้าถึงข้อมูลรัฐในแพลตฟอร์มเดียว
- ความท้าทาย”รัฐบาลดิจิทัล” ต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
- ตั้งเป้า 3 ปี ความพึงพอใจ-ขีดแข่งขันภาครัฐเพิ่ม
ที่มา : การประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 ต.ค. 67 ที่ทำเนียบรัฐบาล