ความร่วมมือระหว่าง Reuters Institute และ University of Oxford ทำการศึกษาเกี่ยวกับภูมิทัศน์สื่อในหลายประเทศทั่วโลก หรือ Media Landscape รวมถึงประเทศไทย เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของสื่อและพฤติกรรมของผู้บริโภค
ประเทศไทยมีข้อจำกัดเกี่ยวกับสื่อหลาย ๆ ด้านและมีการควบคุมสื่อ แต่ทว่าการเกิดขึ้นของ Influencers หรือผู้มีอิทธิพลตามช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง และส่งผลให้เกิดการพูดคุยในรูปแบบที่เรียบง่ายขึ้น และมีเกิดการพูดคุยถึงหัวข้อต่างๆ ที่อาจไม่เคยได้พูดในที่สาธารณะมาก่อน
คนไทยติดข่าวสารทางออนไลน์
เป็นที่รู้กัน ในปัจจุบันผู้คนหันไปใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้นในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การสำรวจในปี 2025 พบว่า คนไทยถึง 88% (8 ใน 10 คน) หาข่าวบนช่องทางออนไลน์ในแต่สัปดาห์ โดยโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือที่คนใช้มากที่สุด
ในการสำรวจนี้ มีการแบ่งกลุ่มอายุเป็นสองกลุ่มคือ 18-34 ปี และ 34 ปีขึ้นไป ระหว่างกลุ่มอายุ 18-34 ปี พบว่ามีการใช้ Social Media เป็นช่องทางหลักในการหาข่าวมากถึงสองในสามหรือคิดเป็น 63% และมีข้อสังเกตว่า กลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงกว่าหรืออาศัยอยู่ในเมือง มีนิสัยการรับข่าวสารผ่านออนไลน์หรือ Social Media
แพลตฟอร์มที่สำคัญต่างๆ มีทั้ง Facebook YouTube Line และ TikTok เช่นเดียวกับการไลฟ์สดและการอธิบายแบบมีปฏิสัมพันธ์ที่ได้รับความสนใจการจากผู้ชมอายุน้อยกว่า ในทางกลับกัน การรับข่าวสารผ่านโทรทัศน์ยังคงเป็นบทบาทสำคัญสำหรับกลุ่มผู้มีอายุ
นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีปรากฏการณ์ที่ผู้คนหันมาใช้ TikTok เพื่อรับข่าวสารเป็นจำนวนมากถึง 49% (รวมทุกกลุ่ม) นักวิชาการเชื่อว่าราคาสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ต่ำช่วยให้เกิดการเข้าถึงสื่อออนไลน์ได้ดี
อีกปรากฏการณ์ที่เป็นที่น่าสนใจของต่างประเทศคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ผู้คนนิยมดูข่าวออนไลน์ (43%) มากกว่าการอ่านข่าว (32%)
คนไทยเชื่อถือข่าวและช่องมากแค่ไหน?
โดยรวมแล้ว คนไทยมีความเชื่อมั่นต่อสื่อมากถึง 55% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 40% อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนอายุน้อยกว่ามักตั้งข้อสงสัยหรือตั้งคำถามต่อสื่อมากกว่ากลุ่มคนที่อายุเยอะกว่า
ความน่าเชื่อถือที่ผู้คนมีต่อแต่ละแบรนด์ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง เกินกว่า 60% ในหลายตัวอย่าง
แต่ทว่าความน่าเชื่อถือเหล่านี้มาจากการที่แบรนด์สื่อต่างๆ นั้นอยู่มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพราะคุณภาพของการผลิตสื่อเสียทีเดียว แสดงให้เห็นว่า ความน่าเชื่อถือนั้นเหมือนเป็นการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หรือความคุ้นชินคุ้นเคยมากกว่า
อุตสาหกรรมสื่อ กำลังเจอดิสรัปต์ไม่หยุด
การรับฟังข่าวผ่านโทรทัศน์ยังคงเป็นที่ ‘น่าเชื่อถือ’ สำหรับสังคม ถึงแม้ว่าแนวโน้มจะดูลดลงในอนาคต
อุตสาหกรรมข่าวไทยกำลังเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบาก จากรายได้โฆษณาที่ลดลง การขยับตัวของผู้รับชมที่ย้ายไปดูออนไลน์ หรือ การลดขนาดลงของเครือข่ายทีวีดิจิตอล นอกจากนี้การพึ่งพา Branded content หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับแบรนด์ เข้ามาทำให้เส้นระหว่างการทำข่าวและการทำการตลาดเกิดการผสมปนกัน อาจสร้างความไม่ชัดเจน และยังลดอิสระในการเขียนข่าวอีกด้วย
อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า หรือ ค.ศ. 2029 ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลจะหมดสัมปทาน บางสื่ออาจจะเลิกทำโทรทัศน์และทำตลาดข่าวออนไลน์แทน เป็นการสร้างการแข่งขันข่าวออนไลน์ให้เค้มข้นมากขึ้น
สื่อทำอย่างไรดี
ถ้าถามว่าสิ่งที่สื่อควรทำและสามารถทำได้คืออะไร ก็คงจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือ จากการสำรวจ มี 4 หัวข้อ ที่สื่อจะสามารถพัฒนาตัวเองและยกระดับคุณภาพได้ คือ
- Impartiality หรือ ความไม่เอนเอียง หลายคนมีความเชื่อว่าในปัจจุบัน สื่อให้ความสำคัญต่อการตอบสนองความต้องการของตัวเอง มากกว่าการเสนอข่าวที่เป็นกลางพร้อมหลักฐาน
- Accuracy หรือ ความแม่นยำ ผู้คนต้องการให้สื่อเลิกปล่อยข้อมูลที่เป็นเชิงการคาดเดา สื่อควรจะทำการตรวจสอบข้อมูลให้แม่นยำก่อนทำการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ
- Transparency หรือ ความโปร่งใส่ ประชาชนต้องการที่จะรู้ที่มาที่ไปของข่าว ต้องการให้มีการเปิดเผยแหล่งข่าว
- Original Reporting หรือ การรายงานข่าวต้นฉบับ ประชาชนที่เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยนี้ชี้ว่าอยากให้นักข่าวใช้เวลาในการหาข้อมูล สืบสวนข้อมูลจากบุคคลที่มีอิทธิพล เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึก มากกว่าการตามกระแส
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่ม ช้อปออนไลน์สัปดาห์ละครั้ง
จีนทุบราคา-แพลตฟอร์มออนไลน์ฮิต ธุรกิจไทยอาการหนัก