เนื่องจาก นโยบายต่าง ๆ ที่ออกแบบมา ยังมองไม่เห็นความแตกต่างและภาระที่ผู้หญิงต้องแบกรับหนักกว่าผู้ชาย เช่นการให้เงินบำนาญหรือแจกเงินรายครั้งเพื่อหวังผลคะแนนเสียง ที่หญิง-ชายได้ปริมาณเท่ากัน ซึ่งอาจดูยุติธรรมในทางหลักการ
แต่ในทางปฏิบัติมันยังไม่เป็นธรรม เพราะผู้หญิงเสียเปรียบเชิงโครงสร้างมาทั้งชีวิต เช่น รายได้เฉลี่ยน้อยกว่า เพราะลาออกมาดูแลลูก ค่าใช้จ่ายที่มากกว่าเพราะค่าผ้าอนามัย ซึ่งยังไม่มีนโยบายมาตรการเสริม เช่น การนับปีที่ลามาเลี้ยงลูกเป็นปีทำงานเพื่อสะสมบำนาญ เพื่อชดเชยให้กับแรงงานหญิง
บางพรรคการเมืองมักเสนอทางเลือกให้ผู้หญิงทำงานหารายได้ ได้จากที่บ้านได้ เช่น นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS) ของพรรคเพื่อไทย หรือเศรษฐกิจดิจิทัลของหลาย ๆ พรรค ซึ่งภาคประชาสังคมตั้งข้อระวังว่า หากไม่มีระบบสนับสนุนการดูแลที่ดี สิ่งนี้จะกลายเป็นการบังคับให้ผู้หญิงต้อง “ทำงานสองกะ” (Double Burden) พวกเธอต้องทำงานบ้านดูแลสมาชิกครอบครัวไปด้วย และต้องทำงานหาเงินไปพร้อม ๆ กัน
การมองไม่เห็นความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศที่เกิดขึ้นนี้ ถือว่าเป็นกับดักใหญ่ที่ทำให้หลายนโยบายถูกประเมินว่า ยังสอบตก
ทิศทางการออกแบบนโยบายเพื่อผู้หญิงและครอบครัว
จากสถานการณ์ปัจจุบัน กลางปี 68 จำนวนประชากรทั้งหมด 65,951,210 คน เป็นหญิง 33,805,928 คน ชาย 32,145,282 คน ซึ่งจากสถิติกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เดือนมี.ค. 68 ประชากรหญิงที่เป็นกำลังแรงงาน มีมากถึง 27.50 ล้านคน แต่ว่างงาน มากถึง 40,774 อัตรา
และจากสถิติกลุ่มแรงงานคนทำงานบ้าน มีจำนวน 4,755,795 คน มีสัดส่วนมากถึง 70 – 80 % เป็นผู้หญิง ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายคุ้มครองแรงงานและไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม เท่ากับว่ามีผู้หญิงจำนวน มหาศาลไม่สามารถได้รับการคุ้มครองใด ๆ ด้านสวัสดิการ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง
ด้วยเหตุนี้ งานเสวนาทางวิชาการ “มองอนาคตสวัสดิการสังคม เศรษฐกิจ ผู้หญิง ครอบครัว กับนโยบายพรรคการเมืองกับการเลือกตั้งครั้งหน้า” เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 68 จึงได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้กับพรรคการเมืองที่กำลังเตรียมความพร้อมสู่สังเวียนเลือกตั้ง โดยมีสาระสำคัญในการออกแบบสวัสดิการที่คำนึงถึงสถานภาพและบทบาททางเศรษฐกิจของผู้หญิงที่ไม่เท่าเทียมกับผู้ชาย
นโยบายสวัสดิการถ้วนหน้าที่สร้างความเป็นธรรมทางเพศ
เนื่องจากสวัสดิการเปรียบเสมือน “ตาข่ายรองรับความเสี่ยง” ที่ทำให้คนกล้าลงทุน เลือกงานตามความฝัน หรือเปลี่ยนสายงานเพื่อหาประสบการณ์ หากไม่มีตาข่ายนี้ คนจะกอดเงินไว้เพราะความกลัว ส่งผลให้เศรษฐกิจฝืดเคืองในระยะยาว การมีนโยบายสวัสดิการจะสร้างความสามารถในการใช้จ่ายและความมั่นใจในการใช้ชีวิต ซึ่งจะวนกลับมาเป็นภาษีและเศรษฐกิจที่หมุนเวียน
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลและพรรคการเมืองมักมีนโยบายแจกเงินรายครั้งเพื่อประชานิยม แต่ไม่มีการสร้างระบบประกันสังคมที่ครอบคลุม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ เช่นงานดูแล (Care Work) ที่หญิงไทยเกินครึ่งต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ สมาชิกในครอบครัว ทำให้พวกเธอมีภาระเพิ่ม แต่ค่าจ้างไม่ได้เพิ่มตาม
เห็นได้จากวิจัย งานดูแลและงานบ้านที่ไม่ได้รับค่าจ้างของหญิงไทย และผลกระทบต่อการจ้างงานที่มีคุณค่า ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเทศไทย เท่ากับว่าผู้หญิงเสียโอกาสในการทำงานและสะสมความมั่งคั่ง
กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ยกตัวอย่างงานประเภท “งานดูแล” (Care Work) ซึ่งบทบาทหน้าที่ส่วนใหญ่ มักจะตกอยู่กับผู้หญิงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเด็ก หรือการดูแลผู้สูงอายุ
ในทางเศรษฐศาสตร์ งานเหล่านี้มักจะถูกมองข้าม ไม่ได้ถูกตีมูลค่าออกมาเป็นตัวเงิน ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่มันคือต้นทุนชีวิตและต้นทุนทางเวลาที่มหาศาลมาก
“รัฐต้องหยุดมองว่าการดูแลคนในครอบครัวเป็นเรื่องของ “ความกตัญญู” หรือเป็น “หน้าที่ส่วนบุคคล” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองว่าเป็น “ความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม” (Socialized Care)
ดังนั้น เวลาเราพูดถึงนโยบายพรรคการเมือง สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง สิ่งที่อยากเห็น หรือที่เราควรจะตั้งคำถามไปพร้อม ๆ กันก็คือ นโยบายเหล่านั้น มองเห็นคนกลุ่มนี้ในฐานะที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจอย่างไร ไม่ใช่แค่มองในฐานะ “ผู้รับสงเคราะห์” หรือรอรับเงินเบี้ยยังชีพเพียงอย่างเดียว แต่จะทำอย่างไรให้สวัสดิการมันเข้าไปหนุนเสริมให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอิสระทางเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นจากภาระงานดูแลที่ผมกล่าวไปข้างต้น”
ดังนั้นนโยบายที่รัฐและพรรคการเมืองต้องผลักดันก็คือ
- การขยายศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ผู้หญิงสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลลูก
- เรื่องของสวัสดิการสำหรับผู้ดูแล คือคนที่ลาออกจากงาน มาดูแลคนป่วยหรือผู้สูงอายุที่บ้าน ควรจะมีสวัสดิการรองรับ ไม่ใช่ปล่อยให้ขาดรายได้ และขาดความมั่นคงในวัยเกษียณของตัวเอง
- สิทธิลาคลอดและสิทธิในการลาเพื่อไปดูแลครอบครัว ที่ไม่ใช่แค่แม่ลาได้คนเดียว แต่พ่อต้องลาได้ด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในครอบครัวและลดภาระทางเพศลง ถ้าพรรคการเมืองสามารถเสนอสิ่งที่เป็นโครงสร้างแบบนี้ได้ ก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าของสวัสดิการไทยไปในทางที่เป็นสากลและยั่งยืนมากขึ้น

กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ ได้เพิ่มเติม อีกประเด็นที่ละเลยไม่ได้คือเรื่อง “เศรษฐกิจนอกระบบ” เพราะผู้หญิงไทยจำนวนมากทำงานนอกระบบ เป็นแรงงานอิสระ เป็นแม่ค้า หรือรับงานไปทำที่บ้าน คนกลุ่มนี้เข้าไม่ถึงระบบประกันสังคมมาตรา 33 นโยบายสวัสดิการในอนาคตจึงต้องออกแบบมาเพื่อครอบคลุมคนกลุ่มนี้ให้ได้จริง ๆ
ไม่ใช่แค่การชวนให้ส่งเงินสมทบเองในประกันสังคมมาตรา 40 ที่สิทธิประโยชน์ยังไม่จูงใจพอ แต่ต้องมองไปถึงสวัสดิการพื้นฐานถ้วนหน้าที่จะรองรับเขาในวันที่เจ็บป่วยหรือชราภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
นโยบายสวัสดิการเอางบประมาณมาจากไหน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคการเมืองเสนอนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า มักจะถูกตั้งคำถามว่า “จะเอาเงินมาจากไหน” หรือ “เอางบประมาณมาจากไหน” ซึ่ง กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เป็นเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญ ที่ต้องยอมรับก่อนว่าการลงทุนในมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว ถ้าพรรคการเมืองบอกว่าไม่มีงบ แต่เรายังเห็นการจัดสรรงบไปในส่วนที่ไม่จำเป็นหรือตรวจสอบได้ยากอยู่ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและเจตจำนงในการออกแบบนโยบายด้านสวัสดิการ
“ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่อยากฝากไว้คือ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีครับ เช่น ภาษีลาภลอย หรือภาษีความมั่งคั่ง เพื่อดึงทรัพยากรส่วนเกินจากคนที่มั่งคั่งมาก ๆ กลับมาสร้างรากฐานให้สังคม รวมไปถึงการลดการอุดหนุนบางอย่างที่ซ้ำซ้อนเพื่อเปลี่ยนมาเป็นงบสวัสดิการที่ตรงจุดกว่าเดิม
สวัสดิการไม่ใช่ภาระ แต่มันคือเครื่องมือสร้าง “ความสามารถในการจ่าย” และ “กำลังซื้อ” ให้กับประชาชน ซึ่งสุดท้ายมันจะวนกลับมาเป็นภาษีและเศรษฐกิจที่หมุนเวียนได้จริง” กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ กล่าว
การจัดสรรงบประมาณสวัสดิการสังคมและมิติทางเพศสภาพ
ศุธาฎา เมฆาวงศกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ได้ชวนให้หน่วยงานภาครัฐและพรรคการเมือง มองเรื่องของ การจัดงบประมาณในมิติเพศสภาพ (Gender Responsive Budgeting)
เพราะแม้จะมีนโยบายเรื่องสวัสดิการ แต่ในรายละเอียดของงบประมาณกลับไม่ได้ระบุว่า งบประมาณจะช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศได้อย่างไร และมองไม่เห็นความเหลื่อมล้ำทางเพศที่เกิดขึ้นอยู่
ยกตัวอย่างเช่น นโยบายเรื่องการสร้างงานหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้ามองแค่ตัวเลข GDP โดยไม่มองว่า ผู้หญิงมีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรืออุปสรรคจากภาระการดูแลคนในครอบครัวที่มากกว่าผู้ชาย ผลประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจเหล่านั้นก็จะตกไปอยู่ที่กลุ่มคนที่มีความพร้อมมากกว่าเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเพศชายในระบบแรงงานหลัก
เช่นเดียวกับ นโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ ถ้ารัฐจ่ายเท่ากันหมดทั่วประเทศ อาจจะฟังเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริง ผู้หญิงสูงอายุส่วนใหญ่มีเงินออมน้อยกว่าผู้ชาย เพราะในวัยทำงาน หลายคนต้องลาออกมาดูแลลูก หรือทำงานในบ้าน ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
นโยบายที่ดีต้องมองเห็นความต่างตรงนี้ด้วย อาจต้องมีมาตรการเสริม เช่น การนับรวมเวลาที่ดูแลคนในครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของการสะสมสิทธิบำนาญ รัฐต้องจ่ายสมทบให้ในฐานะที่เขาทำหน้าที่ดูแลทรัพยากรมนุษย์ให้กับประเทศ เหมือนกับนโยบายในหลาย ๆ ประเทศ เพราะยอมรับว่างานดูแลคือ “งานสร้างชาติ” อย่างหนึ่ง
รูปแบบครอบครัวที่เปลี่ยนไป กฎหมายและสวัสดิการต้องเปลี่ยนตาม
สำหรับการออกแบบนโยบายเพื่อสวัสดิการครอบครัวนั้น ศุธาฎา เมฆาวงศกุล ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่รัฐต้องดำเนินการและพรรคการเมืองต้องผลักดัน
“เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือ การปฏิรูปกฎหมายและสวัสดิการที่คุ้มครองครอบครัวที่มีความหลากหลาย เพราะปัจจุบันครอบครัวไทยไม่ได้มีแค่พ่อแม่ลูกแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่มีครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวที่มีเพศเดียวกัน หรือครอบครัวที่ประกอบด้วยคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
แต่กฎหมายสวัสดิการยังคงยึดโยงอยู่กับสิทธิของคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งทำให้คนจำนวนมากหลุดจากวงโคจรของสวัสดิการรัฐ เช่น สิทธิในการจัดการศพ สิทธิในการรักษาพยาบาลของคู่ชีวิต หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในนามครอบครัว
ดังนั้นการออกแบบนโยบายกฎหมายและสวัสดิการที่คุ้มครองครอบครัวที่มีความหลากหลาย ต้อง “ยึดโยงกับความเป็นมนุษย์” มากกว่า “ยึดโยงกับทะเบียนสมรส” แบบเดิม ๆ”
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ภาระการดูแลจะหนักขึ้นอีกหลายเท่าตัว ถ้ายังไม่มีสวัสดิการที่เข้าไปรองรับงานดูแลผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ แล้วปล่อยให้ภาระนี้เป็นเรื่องของครอบครัวในระดับปัจเจก โดยเฉพากับผู้หญิงแบบที่ผ่านมา เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศพังแน่นอน เพราะคนในวัยแรงงานต้องออกจากระบบแรงงาน เพื่อดูแลคนที่บ้านโดยไม่มีรายได้
ดังนั้นการมีนโยบายสวัสดิการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแล (Care Infrastructure) เช่น การมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในระดับชุมชนที่มีมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาล หรือการมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน โดยรัฐให้การสนับสนุนด้านภาษี สิ่งเหล่านี้คือสวัสดิการที่กินได้ และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกัน เพราะคนจะไม่ต้องลาออกจากงานเพื่อไปดูแลสมาชิกในครอบครัว
นโยบายสวัสดิการสามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ศุธาฎา เมฆาวงศกุล ยังได้กล่าวอีกว่า ความรุนแรงในครอบครัวนั้นเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจในบ้านมีปัญหา ผู้หญิงที่ไม่มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจหรือไม่มีสวัสดิการส่วนตัวรองรับ มักจะติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่รุนแรง เพราะเธอยังต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจคนในครอบครัว ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และไม่กล้าตัดสินใจออกจากบ้านในกรณีที่บ้านมีการใช้ความรุนแรง
ดังนั้นนโยบายสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า เบี้ยยังชีพที่เพียงพอต่อการดำรงชีพจริง ๆ หรือการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นผู้หญิง จะช่วยสร้างอำนาจในการตัดสินใจในชีวิตของผู้หญิง ให้ผู้หญิงมีอิสระทางเศรษฐกิจ
โดยสรุปแล้ว การออกแบบนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต้องไม่ใช่เพียงแจกเงิน สร้างงาน ประชานิยม แต่ต้องปฏิรูปสวัสดิการสังคมและเศรษฐกิจที่ต้องยึดโยงกับหลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศดังที่ อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า มี 3 หลักสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ
- การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เพราะปัจจุบันกฎหมายบางฉบับ เช่น พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ยังมีความล้าสมัยและมีการใช้ถ้อยคำที่เป็นนามธรรม เช่น คำว่า “ศีลธรรมอันดี” ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการใช้ดุลพินิจที่อาจนำไปสู่ความไม่เป็นธรรม
- การขยายขอบเขตการคุ้มครอง สืบเนื่องมาจากกฎหมายที่ใช้ถ้อยคำเป็นนามธรรม ทำให้เกิดการตีความที่ไม่คุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายทุกเพศอย่างเท่าเทียม
- การฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจอย่างเป็นระบบ จากประสบการณ์การลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือกลุ่มผู้อพยพ พบว่าการช่วยเหลือเฉพาะหน้าทางกายภาพนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากบาดแผลทางจิตใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการเยียวยาในระยะยาว แต่ปัจจุบันยังมีองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยเกินไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- คุ้มครองมนุษย์แม่ “ไม่แบก ไม่จม” นโยบายน่าจับตารับเลือกตั้งใหม่
- “ผู้หญิงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ | POLICY WATCH จับตาอนาคตประเทศไทย
- ลาคลอด 180 วัน : ประโยชน์และความเป็นไปได้




