การบังคับเกณฑ์ทหาร ส่งผลให้กองทัพต้องรับบุคคลที่ไม่เต็มใจเป็นพลทหาร นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตของทหารเกณฑ์ และพบว่าบางส่วนติดยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งมีอัตราสูงถึง 25%–30% ทำให้กองทัพต้องแบกรับภาระงบประมาณในการบำบัดรักษาจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่สามารถมอบหมายหน้าที่ด้านความมั่นคงหรือให้ถืออาวุธได้อย่างมั่นใจ
ในช่วงฤดูกาลตรวจคัดเลือกเกณฑ์ทหาร เมษายน 2568 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยว่าทหารเกณฑ์แต่ละปี ประมาณ 80,000 คน พบว่าติดยาเสพติดราว 70-80% ซึ่งกองทัพต้องรับหน้าที่ดูแล และมีถึง 10% เป็นผู้เสพติดขั้นรุนแรง ที่กองทัพต้องส่งไปบำบัดรักษาในฐานะผู้ป่วย
ทางคณะกรรมาธิการทหาร (กมธ. ทหาร) สภาผู้แทนราษฎร จึงได้หารือร่วมกับหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน กรมกำลังพลทหารบก และกรมเสมียนตรา สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จนได้ข้อสรุปว่า พลทหารที่สมัครใจเข้ารับราชการทหารกองประจำการ มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานสูงกว่า พลทหารที่มาจากจับสลากด้วยความไม่เต็มใจ และมีปัญหาเรื่องวินัยและมีความเสี่ยงติดยาเสพติดในอัตราที่ต่ำกว่า
ข้อเสนอจากฝ่ายความมั่นคง
เนื่องจากความแตกต่างระหว่างพลทหารที่สมัครใจกับที่ถูกบังคับเกณฑ์มา ส่งผลต่อการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงของกองทัพ กมธ. ทหาร จึงได้จัดสัมมนาปฏิรูประบบเกณฑ์ทหารมาสู่ระบบทหารสมัครใจ หัวข้อ “พลทหารสมัครใจ 100% ก้าวสู่ระบบทหารอาชีพ สร้างกองทัพที่เข้มแข็ง” เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568
พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอว่า กองทัพบังคับเกณฑ์ทหารมายาวนานมากว่า 100 ปีแล้ว การยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารถือเป็นอีกการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งในช่วงไม่มีภัยสงคราม ควรยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่เปิดรับเฉพาะผู้ที่สมัครใจมาเป็นทหารกองประจำการ แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะสงคราม ก็ใช้วิธีเกณฑ์ทหาร โดย ครม. ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกและตรวจเลือกคนเข้ากองประจำการ
นอกจากนี้ จะต้องจำกัดจำนวนทหารให้ลดน้อยลง เน้นการฝึกของกำลังพลให้มีประสิทธิภาพ และมีกติกาเหมือนทหารต่างประเทศ พร้อมทั้งปรับปรุงรายได้ สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ ปรับระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ให้ยืดหยุ่น ไม่มีระบบพลทหารรับใช้ หรือไปละเมิดต่อร่างกายหรือจิตใจ
เช่นเดียวกับที่ ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งข้อสังเกตว่า ตาม กฎหมาย คำสั่ง ของกระทรวงกลาโหม สามารถปรับเปลี่ยนเป็นรับสมัครทหารกองประจำการได้อยู่แล้ว ทั้งเพศชายและหญิง และกำหนดสัดส่วนตำแหน่งในการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
แม้พลทหารจะมีคุณวุฒิน้อย เมื่อเข้ามาอยู่กับกองทัพก็จะต้องได้รับการส่งเสริมการศึกษาให้มีคุณวุฒิสูงขึ้น สามารถในเติบโตในงานราชการ และมีโอกาสเรียนโรงเรียนนายสิบไปถึงโรงเรียนนายร้อย หรือถ้าหากลาออกเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น ก็จะเป็นกำลังสำรองที่มีคุณภาพของกองทัพ
ข้อเสนอ กมธ. เพื่อปฏิรูปกองทัพ
เพื่อแก้ไขปัญหาการบังคับเกณฑ์ทหาร กมธ. ทหารจึงได้เสนอ (ร่าง) รายงานผลการศึกษา “การรับทหารแบบสมัครใน 100 %” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปกองทัพให้มีความแข็งแรง โดยมีข้อเสนอดังนี้
- เพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้ “พลทหาร”
เพิ่มเงินเดือนและค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ให้กับพลทหารที่สมัครใจเลื่อนการปลดประจำการ เพื่อจูงใจให้ผู้ที่มีประสบการณ์และเข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ ได้อยู่ปฏิบัติงานต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของหน่วยงาน
อย่างไรก็ตาม เงินเดือนไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบเงินเดือนพลทหารกับตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานราชการ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีเงินเดือนและค่าตอบแทนต่ำกว่าพลทหาร แต่กลับมีอัตราการสมัครสอบสูงมาก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการยึดติดกับเรื่องเงินเดือนของพลทหารจนไปเกี่ยวโยงกับโครงสร้างเงินเดือนของทหารชั้นประทวน อาจทำให้โครงการติดหล่มและไม่สามารถขับเคลื่อนได้
- มีระบบฝึกแบบ “ไปเช้า-เย็นกลับ”
จัดวันหยุดและรูปแบบการปฏิบัติงานแบบ “เช้าไป-เย็นกลับ” หรือจัดกะทำงานให้มีวันหยุดที่ถี่ขึ้น สำหรับพลทหารที่ผ่านการฝึกและปรับตัวกับงานเรียบร้อยแล้ว จะทำให้มีวิถีชีวิตใกล้เคียงกับอาชีพอื่นๆ สามารถกลับไปดูแลครอบครัวได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความใกล้ชิดระหว่างทหารและพลเรือนมากขึ้น
รูปแบบนี้สอดคล้องกับโครงการพลทหารออนไลน์ที่มีมา ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สมัครเลือกค่ายทหารใกล้บ้าน หากผู้สมัครเลือกค่ายใกล้บ้านก็สามารถปฏิบัติหน้าที่แบบ “เช้าไป-เย็นกลับ” ได้
และหากเกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น มาสาย-กลับก่อน หรือทิ้งหน้าที่ ผู้บังคับบัญชาก็สามารถดำเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 ได้ การปฏิบัติงานแบบ “เช้าไป-เย็นกลับ” จึงไม่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการ
- ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในกองทัพ
คุ้มครองสวัสดิภาพของพลทหารอย่างจริงจัง โดยการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 เพื่อให้ผู้ที่สมัครเป็นพลทหารมั่นใจว่าตนจะได้รับความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ถูกระบบอุปถัมภ์หรือเครือข่ายผลประโยชน์เอารัดเอาเปรียบ
ทั้งนี้จะต้องควบคู่ไปกับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมภายในกองทัพ เช่น การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.ป. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 และ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 เพื่อให้คดีทุจริตของข้าราชการทหารเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามหลักความเสมอภาค
- ใช้ระบบ “ทหารอาสา” แทนบังคับเกณฑ์ทหาร
รับสมัคร “ทหารอาสา” ที่มีอายุสัญญา 4-8 ปี มาทดแทนการจับสลากใบดำ-ใบแดง เข้ารับราชการทหารกองประจำการ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ งานด้านความมั่นคง ลดปัญหายาเสพติด ลดภาวะซึมเศร้าในค่ายทหาร และลดพฤติกรรมการโอนเงินเดือนหรือค่าประกอบเลี้ยงให้ผู้บังคับบัญชาเพื่อแลกกับการกลับบ้าน
- ลดงานธุรการที่ไม่จำเป็น คงไว้เฉพาะกำลังรบหลัก
ตามอัตราพลทหาร ทั้ง 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนบัญชาการ ส่วนกำลังรบ ส่วนสนับสนุนการรบ ส่วนส่งกำลังบำรุง ส่วนภูมิภาค ส่วนการฝึกศึกษาและหลักนิยม และส่วนพัฒนาประเทศนั้น จะไม่มีการปรับลดอัตราในส่วนกำลังรบและส่วนสนับสนุนการรบ เพราะเป็นภารกิจหลักของกองทัพ ส่วนอัตราด้านอื่นสามารถปรับลดลง 30% และจะต้องมีการจ้างงานผ่านสัญญาจ้างอย่างเป็นระบบชัดเจน ช่วยลดช่องว่างของการใช้อำนาจโดยมิชอบ
สำหรับงานบริการและธุรการที่จำเป็นสามารถใช้การรับสมัคร “ลูกจ้างชั่วคราว” หรือ “ลูกจ้างเหมาบริการ” แทนการใช้พลทหาร ซึ่งจะทำให้กองทัพสามารถจ้างบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน และช่วยขจัดปัญหาการโอนเงินเดือนหรือค่าประกอบเลี้ยงเพื่อแลกกับการกลับบ้านได้
ข้อเสนอเหล่านี้ทาง กมธ ทหาร ถือว่าไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนวิธีการรับสมัครพลทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างเกี่ยวกับการจัดการทุนมนุษย์เพื่อความมั่นคงของประเทศ ทำให้กองทัพมี “ทหารอาชีพ” มีทัศนคติที่ดี มีคุณลักษณะเหมาะสมต่อภารกิจด้านความมั่นคง
พร้อมพัฒนาตนเองสู่การเป็นกำลังรบที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของกองทัพในระยะยาว เสริมสร้างความพร้อมของประเทศในการป้องกันภัยคุกคาม อีกทั้งยังลดต้นทุนทางเศรษฐกิจที่อาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนที่สูญเปล่า
กฎหมายที่ต้องแก้และร่างใหม่
จากการศึกษาของกมธ. พบว่ากฎหมายที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “พลทหารสมัครใจ 100%” มีด้วยกัน 19 ฉบับ เช่น
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ต้องแก้ไขไขมาตรา 193 และมาตรา 199 เรื่องศาลทหาร เพื่อให้ศาลทหารมีหน่วยงานรับผิดชอบ ที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการดำเนินการอื่น เช่นเดียวกับศาลยุติธรรมของพลเรือน และมีอำนาจในการพิจารณาคดีเฉพาะความผิดในภารกิจด้านความมั่นคง และในสภาวะสงครามเท่านั้น
- พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 แก้ไขเพื่อยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารในยามปกติ คัดเลือกบุคคลสมัครใจ โดยเปิดให้บุคคลทุกเพศสามารถสมัครเป็นทหารกองประจำการได้ และห้ามไม่ให้นำทหารไปทำงานรับใช้ส่วนตัว เป็นพลทหารรับใช้ หรือกระทำการใดที่ละเมิดต่อร่างกายหรือจิตใจ
- ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง การรับบุคคลเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว (ทหารอาสา) พ.ศ.2565 ยกเลิกคุณสมบัติผู้สมัครทหารอาสาที่ต้องเป็นทหารกองหนุน กำลังสำรองประเภท หนึ่ง หรือทหารกองเกินที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการ
- กฎกระทรวงกำหนดระยะเวลาการทำหน้าที่ เงินเดือนและค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ ระเบียบและวินัยของบุคคล ฯ พ.ศ.2553 แก้ไขข้อ 9. โดยให้นำกฎหมายป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มาบังคับใช้
- ประกาศกองทัพบก เรื่อง ชี้แจงการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2568 (เหล่าทัพอื่นอ้างอิงประกาศนี้ในการตรวจเลือกทหารกองเกิน) ซึ่งปกติจะออกประกาศเดือนกันยายน จะต้องยกเลิกและงดการออกประกาศใหม่
- พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ยกเลิกการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในศาลทหาร และกำหนดให้โอนบรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีของอัยการทหารก่อนวันที่กฎหมายนี้ใช้บังคับไปให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
รวมทั้งร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่คือ คำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง การให้ทหารกองประจำการและบุคคลเข้าทำหน้าที่ ทหารเป็นการชั่วคราวเช้าไป-เย็นกลับ เสนอให้ทหารกองประจำการและทหารอาสาสามารถ “เช้าไป-เย็นกลับ” หลังการ ฝึก 6 เดือน ได้
นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติและกองนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงจะต้องนำหลักการสำคัญไปใช้ในการพิจารณาปรับปรุงแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นความมั่นคง (พ.ศ. 2566–2580) และยกร่างแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566–2570) เพื่อยกระดับมาตรการหนุนเสริมเพื่อปฏิรูปกองทัพ
ความเป็นไปได้ของข้อเสนอ กมธ. ทหาร
ข้อเสนอของ กมธ. ทหาร ที่ให้มีทหารอาสาแทนการบังคับเกณฑ์ทหาร ดูมีแนวโน้มเป็นไปได้ เพราะจากข้อมูลปี 2568 อัตราอนุมัติของทหารกองประจำการทั้งสิ้น 133,357 อัตรา แต่ละปีจะมีการปลดประจำการ ประมาณ 50,000 อัตรา ดังนั้น ความต้องการกำลังพลในแต่ละปีจึงอยู่ที่ประมาณ 80,000 อัตรา ซึ่งข้อมูลของกรมเสมียนตราในปี 2568 พบว่า กระทรวงกลาโหมมีความต้องการกำลังพลทั้งสิ้น 84,201 อัตรา
ในจำนวนนี้ มีการสมัครผ่านโครงการ “พลทหารออนไลน์” ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกเหล่าทัพและหน่วยฝึกที่ต้องการได้ จำนวน 15,248 อัตรา มีการร้องขอเข้าเป็นทหารโดยสมัครใจในวันตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการอีกจำนวน 25,346 อัตรา และสมัครใจเลื่อนปลดประจำการ 5,277 อัตรา เท่ากับว่าในปี 2568 มีผู้สมัครใจสมัครเป็นพลทหาร ทั้งสิ้นจำนวน 45,871 อัตรา เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่งที่กระทรวงกลาโหมต้องการ (เหลือกำลังพลที่ต้องเกณฑ์มาอีก 38,330 อัตรา)
พลทหารเหล่านี้จะมีระยะเวลาประจำการ 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา โดยวุฒิปริญญาตรีจะมีระยะเวลาประจำการ 6 เดือน วุฒิ ปวช. และ ม.6 จะมี ระยะเวลาประจำการ 1 ปี หากวุฒิต่ำกว่า ม.6 หรือ ปวช. จะมีระยะเวลาประจำการ 2 ปี สำหรับพลทหารที่สมัครใจเลื่อนปลดประจำการ จะมีอายุราชการเพิ่มเติมอีก 1 ปี
ดังนั้น หากมีการปรับปรุงระบบทหาร ตามที่ กมธ. ศึกษาและเสนอ จะเป็นการสร้างแรงจูงใจในการสมัครเป็นพลทหารและเลื่อนปลดประจำการมากขึ้น ลดอัตราการจับสลากใบดำ-ใบแดง และนำไปสู่การรับสมัครทหารอาสาเต็มอัตราได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ยกเลิกเกณฑ์ทหาร บนเส้นทางที่ยาวไกล
- เพิ่มค่าครองชีพข้าราชการ-ลูกจ้าง-ทหาร วุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี
- อัตราเงินเดือนใหม่ นายทหารชั้นสัญญาบัตร-ประทวน