สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดของยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการระหว่าง พ.ศ. 2567–2570 ตั้งเป้าหมายยกระดับระบบราชการให้ทันสมัย มุ่งเน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง มีความยืดหยุ่นคล่องตัวและกระจายอำนาจมากขึ้นเพื่อให้ท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ของตนเองได้ และให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการประชาชน รวมถึงนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลในการบริหารราชการ เปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสและสุจริต ซึ่งข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Data) ในพ.ศ. 2568 มีทั้งหมด 30,494 ชุดข้อมูล
ในงานสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูประบบราชการและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณภาครัฐ” ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทําและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 2 ส.ค. 2568 อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร.(ตำแหน่งในขณะนั้น) กล่าวถึงการปฏิรูประบบราชการว่า เป้าหมายหลักคือ ปฏิรูประบบราชการที่จับต้องได้ ประชาชนรู้สึกได้ สัมผัสได้ ประชาชนได้ประโยชน์
การปฏิรูปจะต้องเป็นการปรับโครงสร้างที่จะต้องไม่กระทบงบประมาณ ด้วยการปรับเปลี่ยนกองกรมที่มี โดยจำนวนกรมกองไม่เปลี่ยน และจะต้องสามารถรับภารกิจใหม่ ๆ ได้ทันที เช่น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการปรับเปลี่ยนจาก กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีภารกิจสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น
ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการของ ก.พ.ร. นั้น ได้ตั้งเป้าให้ อนาคตภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเดิมที่กำหนดนโยบายและกฎหมายเท่านั้น ไปสู่การมีบทบาทสำคัญด้านอื่น ๆ เช่น
- การส่งเสริมกระตุ้นหรือป้องกันพฤติกรรมประชาชนหรือกลุ่มบุคคลโดยไม่ต้องอาศัยกฎหมายบังคับ
- ความโปร่งใส ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
- พัฒนาการบริการสาธารณะ เช่น สุขภาพ การศึกษา การขนส่ง และการประกันสังคม
- รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ในการปฏิรูประบบราชการให้การบริหารงานภาครัฐทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. … เพื่อแก้ไขกฎระเบียบบริหารราชการแต่เดิม และ ร่าง พ.ร.บ. ยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย พ.ศ. …. เพื่อให้รัฐปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีความซับซ้อนและความต้องการที่หลากหลายขึ้น
ร่าง พ.ร.บ. ยกระดับฯ ขณะนี้ได้ถูกนำมารวมไว้ในร่าง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับใหม่แล้ว และอยู่ระหว่างเสนอคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการตีความและวินิจฉัยปัญหากฎหมาย ก่อนเสนอ ก.พ.ร. และคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) ร่างกฎหมายนี้มีเนื้อหาได้แก่
- ยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
- การบริหารราชการรูปแบบพิเศษ
- ปลดล็อกกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เป็นปัญหาอุปสรรค
- การบริหารงานแบบเครือข่าย
- การบริหารงานในภาวะวิกฤต
- การใช้เทคโนโลยีบริการสาธารณะเพื่อความรวดเร็วและอำนวยความสะดวก
ในการส่งเสริมบริหารราชการรูปแบบพิเศษนั้น ร่างกฎหมายได้ระบุให้ ส่วนราชการภายในกรมที่มีภารกิจให้บริการ สามารถตั้งหน่วยบริการรูปแบบพิเศษได้ โดยรายได้ไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมาย ซึ่งในการตั้งหน่วยงานต้องเป็นตามความเห็นชอบของ ครม.
และในการกระจายอำนาจ ข้าราชการสังกัดอื่นนอกเหนือจากกระทรวงมหาดไทยมีสิทธิได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด และเพิ่มอํานาจและหน้าที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะที่ราชการส่วนท้องถิ่น ได้เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นสามารถจัดระเบียบการปกครองเป็นราชการส่วนท้องถิ่นได้ ตามหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ประชาชน
ร่างกฎหมายนี้ยังได้เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอกชนหรือภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม สามารถถ่ายโอนงานบริการสาธารณะให้เอกชน/ประชาสังคมทำแทน โดยเงินและทรัพยากรของภาครัฐจะต้องโอนให้ภาคธุรกิจเอกชน/ภาคประชาสังคมจัดทำบริการ
และหากเกิดกรณีภาวะวิกฤตและยังไม่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ครม. สามารถออกประกาศบริหารงานในภาวะวิกฤตในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งได้ และสามารถจัดตั้งศูนย์บริหารงานแก้ไขปัญหาให้พ้นจากภาวะวิกฤตโดยเร็ว
ปฏิรูปราชการด้วยเทคโนโลยี
ร่าง พ.ร.บ. ยกระดับฯ ได้เพิ่มบัญญัติให้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการสาธารณะ ซึ่งการใช้เทคโนโลยีปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้น วีระศักดิ์ เครือเทพ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมภาครัฐและท้องถิ่น กล่าวถึงหลักสำคัญของการปฏิรูประบบราชการคือ การปรับปรุงโครงสร้างอำนาจรัฐและกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล เพื่อให้การบริหารราชการมีความโปร่งใสและยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งจัดการงบประมาณ การบริหารบุคลากร และการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและการลดขั้นตอนในการให้บริการของภาครัฐ ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
ในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริการสาธารณะนั้น ต้องเน้นการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาของประชาชนได้
วีระศักดิ์ เครือเทพ ยกตัวอย่างการบริการภาครัฐและเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่า ระบบรถรับส่งผู้ป่วย EMS ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่สามารถเรียกใช้ได้ในกรณีปกติ คนไข้หมอนัดและกรณีไม่ฉุกเฉิน ทำให้กลุ่มผู้ยากไร้ กลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้ป่วยติดเตียงเข้าไม่ถึงบริการ ทำให้ขาดนัดหมอ มากกว่าร้อยละ 20 ที่ผ่านมา อปท. พยายามแก้ไขปัญหานี้เท่าที่จะทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
นอกจากนี้ระบบโทรเวชกรรมในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แม้ว่ามีเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้ว แต่ไม่มีการประยุกต์ใช้ให้แพร่หลาย ประชาชนส่วนหนึ่งยังเข้าไม่ถึงบริการ ทำให้สถานพยาบาลยังคงแออัดอยู่
ในการปฏิรูประบบราชการนั้น หน่วยงานราชการต่างๆ ต้องกลับมาพิจารณาในหลายมาตรการที่ต้องปฏิรูป ว่าที่ผ่านมาปฏิรูปไปสุดทางในแต่ละมาตรการแล้วหรือไม่ มีอะไรบ้างที่ประสบความสำเร็จ และอะไรบ้างที่ยังต้องปฏิรูปด้วยวิธีการที่ดีกว่าเดิม เช่น
- โครงสร้างอำนาจรัฐและวิธีการได้มาซึ่งอำนาจ 3 ฝ่าย บริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ
- กลไกตรวจสอบและถ่วงดุล
- การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
- การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสของภาครัฐ
- การลดขั้นตอน การอำนวยความสะดวก ความยืดหยุ่นและคล่องตัว
- การจัดการเชิงกลยุทธ์ ทั้งยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด ผลลัพธ์ ผลสำเร็จของการปฏิบัติราชการ
ทั้งหมดนี้เป็นความพยายาม ปฏิรูประบบราชการให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่นคล่องตัว มีประสิทธิภาพในการบริหารงาน ที่จะต้องติดตามดูต่อไปว่าจะไปสู่เป้าหมาย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- มหาดไทยปลดล็อกท้องถิ่น มีอำนาจ “ส่งเสริม-สนับสนุนการศึกษา”
- เข้าใจแก่นนโยบายสาธารณะ ด้วยแนวคิด Empathetic Policy Design
- “ภาษีบ้านเกิด” ปลดล็อกกระจายงบสู่ท้องถิ่น