รัฐบาลเร่งผลักดันเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมแพล็กซ์ หรือ บ่อนการพนันถูกกฏหมาย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ….พร้อมกฎหมายฉบับรองอีก 24 ฉบับ โดย “มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมในภาพรวมและเป็นการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”
ร่างกฎหมายอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร แต่เริ่มมีกระแสคัดค้านจากสังคมมากขึ้น เนื่องจากกังวลว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” ที่มีกาสิโนอยู่ด้วย จะเป็นแหล่งอบายมุข และเป็นแหล่งฟอกเงินสำคัญจากการคอร์รัปชัน
เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมแพล็กซ์ หรือบ่อนเสรี มีความพยายามจะดำเนินการมาหลายรัฐบาล แต่ได้รับเสียงคัดค้าน ทำให้เป็นเพียงแนวคิด แต่ล่าสุดรัฐบาลเพื่อไทยที่มี แพรทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เร่งผลักดันให้เกิดขึ้น ต่อเนื่องจาก เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งให้ศึกษา โดยคาดว่าจะผ่านขั้นตอนของรัฐสภาภายในปี 2568
วิชา มหาคุณ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎี คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มองว่า เจตนารมณ์ของการออกกฎหมายไม่ชัดเจน เหมือนนำตัวโครงการกาสิโนไปซ่อนไว้ แทนที่ว่าจะไปแก้ไขพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2547 หรือภาษากฎหมาย เรียกว่า “กระบวนการอำพราง”
” รัฐบาลต้องการเงินที่จะให้สัมปทาน เพราะว่าไม่มีการแข่งขันกัน ดังนั้นการให้สัมปทาน เป็นเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้นแน่นอนไม่มีทางเลี่ยงเลย”
แต่ที่ผลกระทบมากกว่านั้น ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ระบุว่าบ่อนพนัน หรือ กาสิโน คือ สถานที่ฟอกเงินอย่างดีที่สุด ซึ่งจะทำลายกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อย่างชนิดที่เรียกว่า “กู่ไม่กลับเลย”
อ่านเพิ่มเติม: POLICY WATCH จับตาอนาคตประเทศไทย
Nikkei Asia ชี้ว่ากาสิโนมีความเสี่ยงจากการฟอกเงิน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีผู้ประกอบการชาวอมเริกันในฟิลิปปินส์ เพราะผู้ประการชาวอเมริกันต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลตัวเองในการลงทุนต่างประเทศ และหากที่ไหนมีความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน หรือ อาชญากรรม จะกระทบต่อใบอนุญาตในประเทศด้วย
เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่เผชิญกับกรณีการฟอกเงินอย่างมากในปี 2023 ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อตรวจสอบธุรกรรม และต้องให้มีการเข้าถึงข้อมูลร่วมกันเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
เปิดต้นแบบ “รีสอร์ทแบบบูรณาการ ” ของสิงคโปร์
บ่อนการพนักถูกกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเรียกว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมแพล็กซ์ หรือ สถานท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือ เรียกว่าอะไรก็ตาม แต่ล้วนมีต้นแบบคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ปรับเปลี่ยนตามแต่ละสถานที่ ซึ่งหากใครอยากรู้ว่าของไทยจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ต้องไปดูต้นแบบที่ใกล้เคียงที่สุดจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ สิงคโปร์
มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands: MBS) หรือเรียกว่าเป็นรีสอร์ทแบบบูรณาการ (integrated resorts) ที่มีรูปแบบของสวนสนุกสมัยใหม่ ร้านอาคาร แหล่งช้อปปิ้ง โรงแรม และ กาสิโน ซึ่งได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2010
นับตั้งแต่เปิดดำเนินการ หากพิจารณาตัวเลขนักท่องเที่ยวพบว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวและรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้ของรีสอร์ทมารีน่าฯ
แต่การท่องเที่ยวซบเซาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการควบรวมรีสอร์ททั้งหมดในช่วงล็อกดาวน์ปี 2020 เนื่องจากไม่มีผู้เข้าใช้บริการในตึกระฟ้า 3 แห่ง ซึ่งมีกาสิโน โรงแรม ศูนย์การค้า และพื้นที่จัดงาน ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมในช่วงโควิด-19 กระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศอย่างหนัก
นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การขยายแผนการลงทุนหยุดชะงักลง ทั้งของ MBS ซึ่ง Las Vegas Sands (LVS) เป็นเจ้าของ โดยเป็นบริษัทคาสิโนและรีสอร์ทในอเมริกา มีสำนักงานใหญ่ในลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา และคู่แข่งคือ รีสอร์ทเวิลด์ เซ็นโตซ่า (Resorts World Sentosa) มี Malaysia’s Genting เป็นเจ้าของ
ปัจจุบัน เศรษฐกิจสิงคโปร์ฟื้นตัว และเกือบ 15 ปีที่เปิดตัวเป็นรีสอร์ทควบรวมธุรกิจกาสิโน ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 แห่ง กำลังรื้อฟื้นแผนขยายการลงทุนขึ้นมาใหม่ และเพิ่มการลงทุนเป็นเท่าตัวเพื่อรักษาศูนย์กลางการพนันแห่งหนึ่งของโลก
Nikkei Asia รายงานว่าทั้งสองบริษัทเตรียมขยายแผนลงทุน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบ 2 เท่าจากการประมาณการช่วงก่อนโควิด-19
พาทริค ดูมองต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ LVS กล่าวถึงการสร้างอาคาร MBS หลังที่ 4 ระหว่างการแถลงเกี่ยวกับรายได้ในเดือนต.ค. 67 ว่า “จะเป็นอาคารการเล่นการพนันที่สำคัญและน่าอยู่ที่สุดในโลก”
มารีน่า เบย์ แซนด์ส เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2010 สร้างรายได้ 3.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งมาจากกาสิโน 2.6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นรายได้ 37% ของยอดขายทั้งหมดของกลุ่ม
LVS ระบุว่าการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและปรับปรุงสถานบริการทั้งหมด มุ่งไปที่กลุ่มนักการพนันที่มีศักยภาพสูง แต่ไม่ถึงระดับวีไอพี แต่เป็นกลุ่มที่เปิดบัญชีขั้นต่ำ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 73,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักการพนันระดับที่มีศักยภาพสูงเหล่านี้มักจะมีรสนิยมสูงในเรื่องการบริการ แหล่งบันเทิงคุณภาพ ช่วยเพิ่มรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการพนันโดยตรง
ขณะเดียวกัน รีสอร์ทเวิลด์ เซ็นโตซ่า ซึ่งเป็นธุรกิจมีลักษณะครอบครัว ร่วมกับ Universal Studios กำลังขยายโครงการระดับไฮ-เอน ริมน้ำ รวมถึงโรงแรมระดับพรีเมียมใหม่ 2 แห่ง ซึ่งการขยายรีสอร์ทจะทำให้มีพื้นที่บริการเพิ่มขึ้น 50%
Nikkei Asia ชี้ว่าความสำเร็จการสร้างรีสอร์ทการพนัน ช่วยอธิบายว่าเหตุใดมีหลายประเทศจึงสนใจลงทุนกันมาก ซึ่งในปี 2019 สิงคโปร์นับว่ารองเพียงมาเก๊า และลาสเวกัส เท่านั้น
ในปี 2019 สิงคโปร์มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 19.1 ล้านคน จาก 9.7 ล้านคนในปี 2009 ขณะที่ในปี 2024 ขยับขึ้นมาประมาณ 85% ของช่วงก่อนโควิด-19 ขณะที่คาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวจะขยับขึ้นจาก 27.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 29 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรีสอร์ทกาสิโนของสิงคโปร์ยังคงเป็นแรงหนุนกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับประเทศ
ในฟิลิปปินส์มีการเปิดธุรกิจการพนันแล้ว โดยเปิดรีสอร์ทบูรณาการแห่งแรกในปี 2009 และรายได้สุทธิประมาณ 280 พันล้านเปโซ หรือ ประมาณ 4.82 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023
ตามข้อมูลจาก Philippine Amusement and Gaming Corp. (PAGCOR) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับของรัฐ ระบุว่ามีแผนจะเปิดอนุญาตรีสอร์ทอีก 2 แห่ง และคาดว่าจะเกิดการลงทุนประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ใน 5 ปี
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอยากที่จะคาดการณ์ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเพื่อนบ้านอย่างไทยและฟิลิปปินส์ กำลังเลียนแบบการสร้างรีสอร์ทการพนัน เพื่อสร้างธุรกิจการพนัน
ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์พนันอันดับ 3 โลก
Nikkei Asia ยังอ้างบทวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ที่ประเมินว่าไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการพนันใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊า และ ลาสเวกัส เนื่องจากมีคนไทยชอบเล่นการพนัน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ดีและรัฐบาลกำลังหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
รอบ โกลด์สตรีท ซีอีโอของ LVS ระบุว่าไทยนับเป็นตลาดที่น่าตื่นตาตื่นใจมากในหลายระดับ และขนาดประชากรที่เหมาะสม คนเข้าถึงได้ง่ายและจำนวนนักท่องเที่ยวไปไทย ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของเอเชีย
“ตอนนี้เราสนใจ เรากำลังรอฟัง และกำลังวางแผนเพื่อหาทางที่เป็นไปได้ของเราจะทำธุรกิจที่นี่”
แต่สิงคโปร์จะดึงดูดนักการพนันและนักท่องเที่ยวในย่านนี้ได้ใน 5 ปีข้างหน้า แต่อาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามธุรกิจและเงินจากการพนัน
แดเนียล เชง ที่ปรึกษาและอดีตผู้บริหาร Hard Rock International and Genting กล่าวว่าสัดส่วนของคนจีนระดับ VIPs ลดลง เพราะรัฐบาลผลักดันเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งผู้บริหารรีสอร์ทกาสิโนต้องพยายามอย่างมากเพื่อหาตลาด เป็นกลุ่มนักธุรกิจและเศรษฐีจริง ๆ
รัฐบาลแพรทองธาร มีเป้าหมายต้องการกระตุ้นท่องเที่ยวและแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย ขึ้นมา “บนดิน” พร้อมกับแก้ปัญหาการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าการทำให้กาสิโนถูกกฎหมายยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในวงกว้าง ซึ่งการสำรวจเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าคนไทยไม่สนับสนุนให้มีการพนันถูกกฏหมาย
รัฐบาลมีเป้าหมาย เพิ่มรายได้ สนับสนุนการลงทุนและแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย ยังไม่มีการประกาศพื้นที่สร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพ็กซ์ และกำหนดเวลาการก่อสร้างยังไม่ได้ประกาศออกมา
ไทยเสนอภาษีล่อใจ 17% เปิด 5 แห่งทั่วประเทศ
แม้ว่ารัฐบาลยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจน แต่ Nikkei Asia อ้างบทวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ซึ่งมีรายละเอียดและอัตราการจัดเก็บภาษี รวมถึงการคาดการณ์รายได้
ซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์ว่ารายได้จากการพนันของไทยอาจจะถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 มากกว่าสิงคโปร์ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์ ภายใต้สมมติฐานว่าไทยจะต้องเปิดอย่างเต็มที่ ประกอบด้วยในกรุงเทพมหานคร 2 แห่ง และในหัวเมืองใหญ่ คือ พัทยา ภูเก็ตและเชียงใหม่ อย่างละแห่ง
จากแผนของรัฐบาลน่าจะเป็นที่รับรู้กันแล้วในหมู่นักลงทุนที่สนใจ ทั้งนักลงทุนคนไทยและต่างชาติ รวมถึง LVS ซึ่งคาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 17%
รัฐบาลไทยเสนอเก็บภาษีการพนัน 17% ซึ่งต่ำสุดในเอเชีย โดยมาเก๊ามีอัตราภาษี 40% ญี่ปุ่น มีอัตราภาษี 30% ส่วนสิงคโปร์อัตราภาษีอยู่ที่ 18% และ 22% ขึ้นกับรายได้ของผู้ดำเนินการ ขณะเดียวกัน รายได้จากนักเล่นการพนันระดับ VIP อัตราภาษี 8% และ 12% ขึ้นกับจำนวนนักการพนัน
ซิตี้กรุ๊ปมองว่ารัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายการกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการพนันถูกกฏหมาย
เพื่อนบ้านกระทบ หากไทยเปิดบ่อนถูกกฏหมาย
หากไทยเข้าสู่ธุรกิจการพนันจะทำให้บ่อนกาสิโนบริเวณชายแดนถูกแย่งลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกัมพูชา เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนไทย ดังนั้น รัฐบาลกัมพูชาอาจต้องยกเลิกการผูกขาดโดยกลุ่ม Nagaworld ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติมาเลเซียที่จดทะเบียนในฮ่องกง ที่ผูกขาดในอนุญาตในพนมเปญ เพื่อให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น
แต่ปัจจุบัน การพนันไม่เพียงแต่เป็นตึกอาคารแบบเดิม แต่ยังมีการพนันออนไลน์ ซึ่งมีเม็ดเงินมหาศาลและยากต่อการติดตาม ดังนั้น การอนุญาตให้สร้างรีสอร์ทการพนันหลายแห่งจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการปราบปรามการพนันออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย
แตหากไทยทำเฉพาะการพนันออนไลน์ จะไม่กระทบลูกค้าในกัมพูชามาก แต่หากมีการตั้งศูนย์พนันในต่างจังหวัด จะกระทบต่อลูกค้าที่เป็นคนไทย ซึ่งเป็นลูกค้าพนันส่วนใหญ่ของกัมพูชา
เมื่อข้ามไปดูเวียดนาม ถือว่ามีสถานกาสิโนจำกัดให้บริการเฉพาะชาวต่างชาติ โดยตั้งอยู่ชายฝั่งทางตอนเหนือของเมืองไฮฟอง จนถึงเมืองหวงเต่านอกเมืองโฮจิมินต์ แต่พรรคคอมมิวนิสต์กำลังพิจารณาจะขยายแหล่งการพนันเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ รวมถึงคนเวียดนามที่ชอบไปเล่นการพนันในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การพนันในเวียดนามถือว่าตลาดมีขนาดเล็กและไม่อาจแข่งกับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาได้
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความเสี่ยงสำคัญ คือ การเมืองขาดเสถียรภาพและมาตรการกำกับดูแล ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติกังวล เพราะความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองและกระบวนการออกใบอนุญาตไม่มีความชัดเจน อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทิศทางใหม่ได้ในอนาคตจากรัฐบาล นับว่าเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติ หากต้องการจะลงทุนในไทย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: