ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเลือก อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ 32 ด้วยคะแนนเสียง 311 เสียง โดยได้คะแนนเสียงสนับสนุนที่สำคัญจากพรรคประชาชน หลังมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOA) ระหว่างทั้ง 2 พรรค ภายใต้เงื่อนไขของพรรคประชาชน คือ
- ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน
- จัดประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ (กรณีต้องมีประชามติ)
- เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ (หากไม่ต้องมีประชามติ)
- พรรคภูมิใจไทยห้ามทำให้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก
- พรรคประชาชนยังคงเป็นฝ่ายค้าน และไม่เข้าสู่รัฐบาล
เป้าหมายหลัก คือ การผลักดันให้ ประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว
ไทม์ไลน์เลือกตั้งปี 69
บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (ASP) วิเคราะห์ว่าการเลือกตั้งใหม่ มีโอกาสดำเนินการตามช่วงเวลา ดังนี้ เดือนที่ 1 (ก.ย. 2568 – หลังโหวตนายกฯ) นายกรัฐมนตรีใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ภายใน 15 วัน หลังได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง และเริ่มกระบวนการ พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เดือนที่ 2 (ต.ค. 2568)
- หากต้องทำประชามติ : ออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันประชามติ จัดทำให้เสร็จภายใน 90 วัน
- หากไม่ต้องทำประชามติ : เสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา (ใช้เวลาอย่างเร็ว 1 เดือนในการ พิจารณา 3 วาระ)
เดือนที่ 3 (พ.ย. 2568)
- กรณี มีประชามติ ลงประชามติแก้ไข รธน.
- กรณี ไม่ต้องประชามติ → ผ่านวาระ 3 แล้วตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)”
เดือนที่ 4 (ธ.ค. 2568)
ยุบสภาฯ ตามข้อตกลงกรอบ 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย และออก พ.ร.ฎ. ยุบสภา กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45–60 วัน (ตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ม. 102) การเลือกตั้งใหม่ โดยหากยุบสภาเดือน ธ.ค. 2568 วันเลือกตั้งทั่วไปจะอยู่ประมาณเดือน ก.พ. – มี.ค. 2569 จากนั้นคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน และรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งจะเข้ามารับหน้าที่ ประมาณเดือน เม.ย. – พ.ค. 2569
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา คือ เส้นตาย 4 เดือน ถ้าไม่ยุบสภาตามกำหนดข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนและภูมิใจไทย จะเสียความชอบธรรม ทั้งนี้การแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าต้องทำประชามติอาจใช้เวลานานกว่า 4 เดือน รัฐบาลอาจยุบสภาฯ ก่อน แล้วให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการต่อ ดังนั้นเลือกตั้งใหม่เร็วสุด คือ เดือน ก.พ. 2569 (กรณีถ้ายุบ ธ.ค. 2568) และช้าที่สุดเลือกตั้งใหม่กลางปี 2569 (กรณีถ้าประชามติ หรือขั้นตอนรัฐธรรมนูญล่าช้า)
เลือกตั้งปี 69 อาจคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ดี อาจเหมือนตลาดหุ้นเกาหลีใต้หลังเลือกตั้งประธานาธิบดี มา 3 เดือน (มิ.ย. – ส.ค. 68) ปรับตัวขึ้นมาแรงกว่า 18%
อีกทั้งช่วงระยะเวลาการเลือกตั้งปี 69 มีทั้งเลือกนายกรัฐมนตรี กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มาบรรจบกันพอดีในรอบ 30 ปี น่าจะคึกคักเป็นพิเศษกว่าปีอื่น ๆ
ตลาดหวังนโยบายรัฐบาลใหม่
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ออกบทวิเคราะห์ว่า สถิติตลาดหุ้นไทยและกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงเลือกตั้งไม่ว่าจะเกิดฉากทัศน์ใด ทั้งการเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 6 เดือน, การเลือกตั้งทันที, หรือการเลือกตั้งที่ล่าช้ากว่ากำหนด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน คือ การเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดสะท้อนความคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม
จากการศึกษาพฤติกรรมของตลาดหุ้นไทยในช่วงการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังสุด พบว่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงก่อนการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ย
- +3% ในช่วง 2 เดือนก่อนเลือกตั้ง
- +2% หากลงทุนระยะสั้นเพียง 2 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงปรากฏการณ์ “Election Rally” ที่มักเกิดขึ้นจากความคาดหวังของนักลงทุนต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหาเสียงและหลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลทางสถิติมาใช้ต้องควบคู่กับการประเมินความเหมาะสมของจังหวะในการลงทุน
ในรอบการเลือกตั้งครั้งถัดไป หากอิงตามเงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือน การ เลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในช่วง 45–60 วันถัดมา หรือ ไม่น่าจะเกินไตรมาส 1–2 ของปี 2569 ด้วยเหตุนี้ บล.เมย์แบงก์ มองว่า การเก็งกำไรจากธีม “เลือกตั้ง” ในช่วงเวลานี้ยังถือว่ายังอาจเร็วเกินไป
กลุ่มอุตฯ ที่ตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจ
จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนของกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังสุด พบว่ากลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด (Outperform) คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) โดยเฉพาะ FIN ICT BANK COMM CONS ล้วนเป็นกลุ่มที่ตอบสนองเชิงบวกต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายกระตุ่นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ทั้งในด้านการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เกิดจากแรงหนุนเชิง Sentiment เป็นหลัก มากกว่าการ เปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐาน (Fundamental) เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกของนโยบาย หรือการเปลี่ยนแปลงประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น การเข้าลงทุนควรเน้นในเชิงเทคนิค (Tactical) ระยะสั้น โดยรอจังหวะสะสมเพิ่มเติมเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลังเลือกตั้ง
กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้น
แม้ว่าการเลือกตั้งจะมีส่วนช่วยให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ฟื้นตัวขึ้นในระดับหนึ่งจากบรรยากาศความคาดหวังเชิงบวกต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ในเชิงพฤติกรรมการใช้จ่ายจริง กลับยังไม่สะท้อนมายังยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ได้อย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคไทยยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง เป็นผลจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วถึงค่าใช้จ่ายจำเป็นที่เร่งตัวสูง และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของรัฐบาล มีวงเงินรวม 1.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการ จ่ายรอบแรกในเดือน ก.ย. 2567 วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท และรอบที่สองในช่วง ม.ค. – เม.ย. 2568 วงเงินอีก 3 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะช่วยหนุน SSSG ของกลุ่มค้าปลีกและบริโภคได้ในช่วงเวลาที่มีการจ่ายเงินโดยตรง แต่ผลบวกดังกล่าว ยังจำกัดอยู่ในระยะสั้นเท่านั้น
ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส , บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: