แม้ประเทศไทยไม่ได้ประกาศ “Zero Waste” เป็นนโยบายที่ชัดเจน แต่ก็มีการตั้งเป้า “ขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)” จากหน่วยงานภาครัฐและ เอกชน โดยร่วมกันดำเนินการผ่านโครงการ “ขยะอาหารเป็นศูนย์ (Zero Food Waste)”
การกำหนดเป้าหมาย Zero Food Waste ในปี 2573 เพื่อการลดขยะอาหารสู่ศูนย์ สอดคล้องกับเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ข้อ 12.3 ที่เน้นการจัดการขยะตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)เพิ่มมูลค่าขยะในทางเศรษฐกิจมากขึ้น
กระนั้นก็ตามการเดินสู่ Zero Food Waste เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทยอาจจะยังอีกไกล โดยจะเห็นปริมาณขยะในแต่ละปีของไทยที่ยังมีจำนวนมหาศาลราว 26–27 ล้านตัน
ขณะที่ การบริหารจัดการขยะในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มที่ แม้งบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมจะถูกจัดสรรลงพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่การจัดการที่ต้นทางยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะ “การคัดแยกตั้งแต่บ้านเรือน”
“การจัดการขยะต้นทาง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน ยังไม่เกิดขึ้นจริง ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนมากยังคงต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจัดการขยะปลายทางแทนการฝังกลบ ทำให้ประชาชน ยังคิดว่า “แยกแล้วก็รวมกันอยู่ดี” ทำให้การจัดการขยะยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบการได้
ขยะล้นทะเลปีละ 3-4 หมื่นตัน
มาดูปริมาณขยะในทะเล ที่มีมากถึง 3 – 4 หมื่นตันต่อปี พบว่า แนวชายฝั่งและพื้นที่ท่องเที่ยวหลายแห่งสะสมขยะจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่การท่องเที่ยวเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่พฤติกรรมการทิ้งขยะของผู้คน ทั้งในชุมชน สถานประกอบการ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ยังไม่สอดคล้องกับระบบจัดการที่มีอยู่
ขยะพลาสติก กลายเป็นขยะส่วนใหญ่ที่พบของขยะทะเล ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศทางทะเลจากข้อมูลพบว่าปี 2567 ประเทศไทยมีขยะพลาสติก 2.88 ล้านตัน แต่สามารถนำกลับเข้ารีไซเคิลได้เพียง 700,000 ตัน หรือราว 25%
ส่วนที่เหลืออีก 75% ต้องเข้าสู่หลุมฝังกลบ โดยบางส่วนนำไปเผาเป็นพลังงาน เนื่องจากขยะพลาสติกมี หลายประเภท ครัวเรือนไม่สามารถแยกละเอียดได้ตั้งแต่ต้นทาง ปนเปื้อนกันจนไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อาจจะบอกได้ว่าการจัดการขยะของไทย ยังขาด การบริหารจัดการอย่างครบวงจร โยเฉพาะ ขยะพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะขยะพลาสติกหลายชนิดสามารถรีไซเคิลได้

สุวรรณ นันทศรุต
โรดแมปพลาสติกที่ไร้ “ภาคบังคับ”
แม้ประเทศไทยจะมี “โรดแมปพลาสติก” กำหนดกรอบเวลา ปี 2561 – 2573 โดยตั้งเป้าให้ขยะพลาสติกเป้าหมาย 7 ประเภทแบบใช้ครั้งเดียวทุกชิ้น
- ถุงหูหิ้วแบบบาง
- ขวดพลาสติก
- ฝาขวด
- ถาด
- กล่องอาหาร
- ช้อนส้อมมีด
- ฟิล์มพลาสติก
- แก้วน้ำ
ขยะทั้ง 7 ประเภทถูกนำกลับมารีไซเคิลให้ได้ 100% ภายในปี 2570 แต่ปัจจุบันทำได้เพียง 25% เท่านั้น เนื่องมาจากโรดแมปขยะเป็นเพียง “แผนสมัครใจ” ยังไม่มีเจตนารมณ์ด้านกฎหมายมาบังคับใช้ หน่วยงานภาครัฐจึงต้องพึ่งพาการขอความร่วมมือเป็นหลัก
หนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือภาคเอกชน จนนำไปสู่การยกเลิกการใช้ แคปซีลฝาขวดน้ำดื่ม (พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม) ซึ่งเป็นพลาสติกหุ้มฝาที่ไม่มีความจำเป็นต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
แคปซีลฝาขวดน้ำ ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย) ไม่ได้มีข้อกำหนดที่บังคับให้ต้องใช้แคปซีล ทำให้ปัจจุบัน บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายรายยกเลิก ช่วยลดขยะส่วนเกินและ ก็ช่วยลดทั้งต้นทุนบรรจุภัณฑ์
อย่างไรก็ตามภาครัฐควรจะเข้ามามีบทบาทในการควบคุม ภาคการผลิต การออกแบบต้นทางด้วย เช่น แก้วพลาสติกในร้านกาแฟ ซึ่งปัจจุบันมีการเลือกใช้งานกว่า 5 ชนิด ซึ่งมีทั้งแบบรีไซเคิลได้ และไม่ได้ ทำให้การคัดแยกมีความซับซ้อน
ดังนั้นการส่งเสริมให้ประชาชนแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง อาจจะต้องเริ่มจากภาคการผลิต ออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่คัดแยกพลาสติก และรีไซเคิลได้ เพื่อทำให้การคัดแยกขยะง่ายขึ้น
ระบบจัดการขยะที่ยังไม่ครบวงจร
ระบบการจัดการขยะที่ยังไม่ครบวงจร ทำให้การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ยังคงมีปัญหา และต้องได้รับการสนับสนุน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง และขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริง
สุวรรณ นันทศรุต ประธานมูลนิธิมือวิเศษ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีโมเดลการจัดการขยะเพื่อนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ แต่การกำจัดขยะของไทยยังไม่ครบวงจร อันเนื่องจากการคัดแยกที่ต้นทางยังไม่เพียงพอ และเตาเผาหลายแห่งไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพ และ หากขยะยังเป็น “ขยะผสม” ปัญหาก็จะยังคงอยู่เช่นเดิม
ถ้าไม่มีการจัดการขยะอย่างคบวงจรจะเดินไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ได้ มูลนิธิมือวิเศษ จึงเริ่มเข้ามาจัดการ“ขยะพลาสติก” เพราะขยะอินทรีย์หรือขยะทั่วไปจะยังมีช่องทางจัดการรองรับ แต่พลาสติกเป็นวัสดุที่ถูกใช้อย่างเสรี หลากหลายชนิด ควบคุมได้ยาก และต้องการระบบจัดการเฉพาะทางมากกว่า
ที่่ผ่านมา มูลนิธิมือวิเศษ ได้ทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยสนับสนุนการขับเคลื่อนเชิงนโยบายของสำนักสิ่งแวดล้อม กทม.ในโครงการ “ไม่เทรวม” ที่มุ่งเน้นการเก็บขนแบบแยกประเภท เน้นการคัดแยกขยะเศษอาหารที่เป็นสัดส่วนใหญ่และสร้างปัญหาออกก่อน
นอกจากนี้ โครงการ “มือวิเศษกรุงเทพ” ที่ส่งเสริมการจัดการขยะแห้งหลังการใช้งาน จัดตั้งจุดรับคืนพลาสติก และกล่องเครื่องดื่มยูเอชที ส่งกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล โดย ภารกิจของมูลนิธิไม่ได้จำกัดเฉพาะขยะรีไซเคิล
แต่ยังครอบคลุม ความมั่นคงทางอาหารจากการจัดการขยะอินทรีย์ ส่งเสริมการลดใช้พลาสติกที่จัดการยาก แผนป้องกันการหลุดรอดของขยะออกสู่แหล่งน้ำ ขยะชายฝั่ง ขยะทะเล รวมไปถึง พัฒนาฐานข้อมูลสารสนเทศด้านขยะ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายระยะยาวของเมือง
“กรุงเทพฯ ตั้งเป้าเก็บขยะอินทรีย์ให้ได้ 500 ตันต่อวัน และทำได้แล้ว กำลังขยับแผนเป็น 800 ตันต่อวันภายในปี 2569 หากยังเป็นอาหารส่วนเกิน ยังไม่เป็นขยะ มีการส่งต่อให้ธนาคารอาหาร สำหรับขยะเศษอาหาร นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ผลิตปุ๋ยหมัก รวมถึงการเพาะเลี้ยงหนอนเพื่อทำเป็นอาหารสัตว์ ทั้งหมดนี้ช่วยลดแรงกดดันต่อหลุมฝังกลบ และบรรเทาปัญหา “ดราม่าขยะเทกอง” ที่เคยเกิดขึ้นในชุมชนต่าง ๆ
ธนาคารขยะ สู่กฎหมาย EPR ปี 2570
อย่างไรก็ตามก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน จะมีการประกาศบังคับใช้จริงจับประมาณปี พ.ศ. 2570 เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องรับผิดชอบวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร
ทั้งการเก็บรวบรวม การรีไซเคิล และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาคเอกชนและภาครัฐกำลังเตรียมความพร้อมและพัฒนากลไกต่างๆ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม
“สุวรรณ” บอกว่า ก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้ เรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดำเนินการไปแล้วในการพัฒนารูปแบบ “ศูนย์รับซื้อขยะชุมชน” เปลี่ยนจากงาน”การกุศล” เป็น”ธุรกิจโมเดล” ที่สร้างรายได้ให้ชุมชนได้จริง ซึ่งเป็นการต่อยอดจากระบบ”ธนาคารขยะ” ที่หลายจังหวัดเริ่มดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่แล้ว ถือเป็นฐานสำคัญ ในการเก็บกลับรับซื้อขยะหลังการอุปโภคบริโภค
ส่วนการดำเนินการ 3 แนวทางหลักเพื่อขับเคลื่อน ดังนี้
1.สร้างศูนย์รวบรวมขยะชุมชน ที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ตอบแทนพฤติกรรมที่แหล่งกำเนิดทันที ทั้งแบบ”ขยะเป็นเงิน”หรือ “ขยะแลกของ” เพื่อดึงขยะแห้งเข้าสู่ระบบรีไซเคิล โดยสนับสนุนแนวคิดการจดทะเบียนซาเล้งและผู้รับซื้อของเก่า เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบเก็บกลับ คัดแยก ส่งต่อ สำหรับขยะรีไซเคิลมูลค่าต่ำ มูลนิธิพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อส่งทำพลังงานในเตาเผาที่ไว้ใจได้ หรือการรีไซเคิลทางเคมี
2.ปรับปรุงระบบจุดรับคืนขยะครบวงจรในระดับพื้นที่ อยู่เขตไหนไปคืนที่เขตนั้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่ายไม่ต้องคอยจดจำว่าอะไรส่งคืนที่ไหน ภาครัฐร่วมดูแลกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน ชี้ให้เห็นประโยชน์ของการแยกขยะ
เช่น จุดรับคืน “มือวิเศษกรุงเทพ” นำ ขวดพลาสติกใส ไปผลิตเสื้อกั๊กให้พนักงานกวาดถนนของกรุงเทพมหานคร ปีละ 1,200 ชุด กล่องยูเอชที นำไปแปรรูปเป็นหลังคาเมทัลชีทและวัสดุก่อสร้าง เพื่อพัฒนาชุมชน ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม กทม สามารถดึงขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบรีไซเคิลได้มากกว่า 140,000 กิโลกรัม ทำงานผ่านจุด Drop-off และกิจกรรม “มือวิเศษสัญจร” ไดร์ฟทรูส่งขยะ แบบแยกส่งครบจบที่เดียว พร้อมสื่อสารนโยบายการจัดการขยะ
3.ระบบข้อมูลขยะและโมเดลบ้านตัวอย่างระดับกรุงเทพฯ โดยร่วมทำงานกับ กรุงเทพมหานคร และ PPP Plastics เพื่อรวบรวมจัดทำ “กรีนแมป” และโมเดลคัดแยกขยะระดับครัวเรือน เตรียมสร้าง “บ้านตัวอย่าง” ผ่านเครือข่ายมือวิเศษกรุงเทพครอบคลุม 50 เขต สอดรับนโยบายขึ้นค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ เพื่อทำให้การคัดแยกขยะกลายเป็น “พฤติกรรมปกติ” ของเมือง ครัวเรือนที่แยกขยะต้องได้ส่วนลดค่าธรรมเนียม
ส่วนขยะทะเล ได้เริ่มดำเนินการมากกว่า 10 พื้นที่ เช่น เกาะลันตา เกาะลิบง เกาะเต่า และเกาะพีพี โดยร่วมกับพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ในการเก็บและจัดการขยะทะเล พร้อมวางเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น เตรียมหารือกับญี่ปุ่น และไต้หวัน ในต้นปีหน้าเพื่อจัดการขยะประเภทอวนและแห ที่จัดเก็บยาก และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อแนวปะการัง หนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ การศึกษาแนวทางตาม กฎหมาย Marking อวนแห เพื่อติดตามอุปกรณ์ประมง
เศรษฐกิจหมุนเวียน ต้องเดินพร้อมทั้งกฎหมาย
การเดินหน้าเศรษฐกิจหมุนเวียนต้องขับเคลื่อนทั้งด้านกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.บรรจุภัณฑ์ ระบบ EPR และมาตรการภาษี รวมถึงการสร้างความรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งในด้านการคัดแยกที่บ้าน การไม่เทรวม และการสนับสนุนสินค้าที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล ประเทศที่ประสบความสำเร็จใช้กฎหมายบรรจุภัณฑ์และ EPR เป็นคำตอบหลัก
แต่บางประเทศใช้มาตรการภาษีหรือค่าธรรมเนียมเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและผู้ผลิต หรืออาจต้องใช้ควบคู่กันไป
สุวรรณ ย้ำว่า การจัดการขยะและการนำไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนของไทย จะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อระบบข้อมูล กฎหมาย และความร่วมมือทำงานไปพร้อมกัน โดยมีการลงพื้นที่จริงขององค์กรอย่างมูลนิธิมือวิเศษเป็นตัวช่วยสำคัญในการผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมกันเปลี่ยนแปลงเชิงระบบผ่านการลงมือมือทำ และ เริ่มต้นสลายชุดความคิดเดิมที่ว่า “แยกแล้วก็รวมกันอยู่ดี”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


