ThaiPBS Logo

ลดก๊าซเรือนกระจก “ต้องทำจริง” ก่อนตกขบวนการค้าโลก

5 ก.ย. 256710:48 น.
ลดก๊าซเรือนกระจก “ต้องทำจริง” ก่อนตกขบวนการค้าโลก
ลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 แม้จะยังช้ากว่าประชาคมโลกอยู่หลายปี แต่รัฐบาลจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ก่อนถูกกีดกันทางการค้าโลก เนื่องจากประเทศที่มีเป้า Net zero มีแนวโน้มเลือกทำการค้ากับประเทศที่มีเป้า Net zero ใกล้เคียงกัน

วิกฤตโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้นทั้งจากอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในไทย แต่เมื่อเทียบปัญหากับการแก้ปัญหากลับพบว่า โลกยังห่างไกลจากเป้าหมายที่จะจำกัดไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีสในปี 2015 ซึ่งเมื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่สัญญา ยังมีความแตกต่างกันมาก

ดังนั้นความเชื่อมั่นที่มีต่อการผลักดันการแก้ปัญหาโลกร้อนจึงลดลงตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นต่อการออกนโยบายที่เหมาะสม เพียงพอและตอบโจทย์ของภาครัฐ ต่อความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาของผู้ดำเนินนโยบาย หรือแม้แต่ความเชื่อมั่นที่มีต่อภาพความสำเร็จตามความตกลงปารีส

เร่งฟื้นความเชื่อมั่นและปิดช่องว่างแก้โลกร้อน  

การเร่งฟื้นความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากโลกต้องการเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากความเชื่อมั่นเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาโลกร้อนให้สัมฤทธิ์ผล

จากการวิเคราะห์ผลการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 (COP28) และการประชุมสภาเศรษฐกิจโลกปี 2024 โดย SCB EIC พบว่า ประชาคมโลกตัดสินใจใช้ 3 แนวทางเพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นและปิดช่องว่างในการแก้ปัญหาโลกร้อน ได้แก่ 1. Move faster เร่งขับเคลื่อนการแก้ปัญหาโลกร้อนให้เร็วและแรงขึ้น เช่น การเร่งเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนโลกขึ้น 3 เท่าภายในปี 2030 หรือภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี 2. More inclusive ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เช่น การผลักดันการลงทุนไปยังประเทศ ภูมิภาคหรือชุมชน ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด และ 3. Beyond net zero ต้องคำนึงถึงการฟื้นฟูธรรมชาติควบคู่กันไปด้วย เช่น  การเร่งผลักดันการเกษตรรูปแบบใหม่ที่จะช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่กว่า 1,000 ล้านไร่ภายในปี 2030

3 อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ

สำหรับแนวทางแก้โลกร้อนในยุคฟื้นฟูความเชื่อมั่น จะทำให้มีทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้น และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น SCB EIC แบ่งอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นและกลุ่มที่จะต้องเร่งปรับตัว

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นมี 6 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียน 2. กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 3. กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า 4. กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย 5. กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ และ 6. กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ

ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันที่มากขึ้นและคว้าโอกาสทางธุรกิจมีอยู่ 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น น้ำมันและก๊าซ โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เหล็ก ซีเมนต์  2. กลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพสูง อาทิ เกษตร เหมืองแร่ เคมีภัณฑ์ และ 3. กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์สันดาปภายในและชิ้นส่วน

ภาคธุรกิจต้องจริงจังลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ผู้ประกอบการควรหันมาลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากแนวทางการแก้ปัญหาโลกร้อน  SCB EIC มองว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจ กำลังกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เนื่องจากในระยะต่อไป บริษัทและประเทศต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์  (Net zero) จะนำปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ มาใช้เป็นปัจจัยชี้ขาดในการเลือกซื้อวัตถุดิบและบริการมากขึ้น

ดังนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถดำเนินการผ่าน 5 ขั้นตอน คือ 1.ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร 2. ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3. ค้นหาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 5. ติดตาม ประเมินและรายงานผลการดำเนินงานต่อสาธารณะ

นอกจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ผู้ประกอบการควรแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นจากการที่ทั่วโลกกำลังมุ่งสู่ Net zero ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของ 6 กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้น หรือการใช้ประโยชน์จากแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green finance) เพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการฟื้นฟูธรรมชาติ

เป้า Net zero ไทยช้า อาจตกขบวนการค้าโลก

สำหรับการสนับสนุนจากภาครัฐ คือ หัวใจสำคัญที่จะช่วยให้การปรับตัวของภาคเอกชนประสบความสำเร็จ ซึ่งการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 20 ปี โดยภาคเอกชนเพียงลำพังจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน จนนำไปสู่ความสำเร็จได้ ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ

SCB EIC มองว่า ภาครัฐสามารถมีบทบาทสนับสนุนการปรับตัวของภาคเอกชนได้อย่างน้อย 2 ประการ คือ

  1. ปรับเป้าหมาย Net zero ของประเทศให้เร็วขึ้น จากปี 2065 เป็น 2050 ให้สอดคล้องกับแนวทางโลกโดยหากไม่มีการปรับเปลี่ยน ไทยจะบรรลุ Net zero ช้ากว่า 123 ประเทศถึง 15 ปี และจะทำให้ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกจากวงจรการค้าโลกในอนาคต เนื่องจากประเทศและบริษัทต่าง ๆ ที่มีเป้า Net zero เร็วกว่าในปี 2050 มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมาย Net zero ไม่ช้าไปกว่าเป้าหมายที่ประเทศหรือบริษัทของตนเองกำหนดไว้
  2. เร่งออกมาตรการสนับสนุนให้ธุรกิจและครัวเรือนปรับพฤติกรรมการผลิตและบริโภคไปในทิศทางที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย Net zero ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรการสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรแต่ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว เช่น กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีการมอบเครดิตภาษีให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการออกมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคที่ขาดทรัพยากรในการปรับตัว เช่น สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยการดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของประเทศแล้ว ยังเป็นการช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมของไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างทันท่วงที

ที่มา : SCB EIC

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ ปัญหาที่ไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามหาทางรับมือแก้ไข โดยรัฐบาลประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในปี 2567 ได้เข้าร่วมประชุม COP29 เพื่อแสดงบทบาทความร่วมมือกับประชาคมโลก

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: