จากเวทีการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 วาระที่ 3 เรื่อง การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นการพูดคุยถึงคือเรื่องของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างเป็นธรรม ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เงินทุน ความรู้ หรือกฎหมายก็ตาม
อีกความท้าทายที่ปฏิเสธไม่ได้คือคือความยั่งยืนของพลังงานสะอาด ว่าในระยะยาวจะส่งผลดีได้มากแค่ไหน การติดตั้งพลังงานสะอาดเองถึงแม้จะเป็นการลดการปล่อยมลพิษ แต่ในเวลาเดียวกันก็อาจเป็นการสร้างขยะอันตรายหากจัดการไม่ดี
สถานการณ์พลังงานแสงอาทิตย์ในไทย
หากอิงตามแผน PDP 2024 ภาครัฐจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 51% ภายในปลายปี 2580 ซึ่งจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด 16% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทุกประเภท
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกรุงศรี ชี้ว่าสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนต่อพลังงานขั้นสุดท้ายของปี 2566 อยู่ที่ 14.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2565 ที่ 14.0% ในจำนวนพลังงานหมุนเวียนนี้เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 25.7% ของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดของประเทศ และคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2567-2572 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% แนวโน้มนี้แสดงถึงช่องว่างในการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์
ในประเทศไทยมีการติดตั้งแผงโซลาร์อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ติดตั้งบนหลังคาสำหรับบ้านเรือนและอาคารธุรกิจ (Solar Rooftop) การทำโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) หรือโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar)
การเติบโตที่มากที่สุดคือการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม เพราะสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างชัดเจน และในกลุ่มครัวเรือนก็มีการติดตั้งที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ในทางกลับกันโซลาร์ชุมชนมีการเติบโตที่น้อยมาก ความยากในการติดตั้งอาจจะมาจากอุปสรรคในเรื่องของความไม่สมมาตของข้อมูล ที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี การสร้างความตระหนักรู้ในระดับพื้นที่ที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นเรื่องสำคัญ แต่มีความกังวลว่า อปท. ไม่มีองค์ความรู้และบุคลากรที่เพียงพอ หรือแม้แต่งบประมาณก็ตาม ฉะนั้นแล้วรัฐบาลกลาง เช่นกระทรวงพลังงาน หรือ การไฟฟ้า ควรเข้ามาสนับสนุนในสิ่งที่ขาดแคลน
ในแง่หนึ่งประเทศไทยมีความก้าวหน้าในความสนใจและกระตืนรือร้นในการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งภาคธุรกิจ โรงงาน และครัวเรือน แต่ก็ยังมีอีกหลายความท้าทายที่ต้องเจอ
ความท้าทาย: ขยะแผงโซลาร์เซลล์ที่เพิ่มขึ้น
ความต้องการต่อพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องดี แต่ในเวลาเดียวกันต้องมองถึงอนาคตว่าจะจัดการกับแผงโซลาร์ที่ถูกจำแนกว่าเป็นขยะอันตรายอย่างไร
ในปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้ พ.ร.บ. โรงงาน และ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย กำหนดว่า “แผงโซลาร์เซลล์เป็นของเสียอันตราย” การจัดการแผงโซลาร์เซลล์จะแบ่งไปตามประสิทธิภาพที่เหลืออยู่ หากประสิทธิภาพต่ำกว่า 70% จะจัดว่าเป็นของเสียอันตราย แต่ถ้ามีประสิทธิภาพมากกว่า 70% จะมีช่องทางให้นำกลับมาใช้ต่อได้
ตัวอย่างการนำแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 70% มาใช้ต่อ เช่น สามารถบริจาคให้กับชุมชน โรงเรียน หรือพื้นที่ห่างไกลได้ โดยจะต้องมีหนังสือยินยอมจากหน่วยงานท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อแสดงถึงการยินยอมการรับบริจาค หลังจากนั้นกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะพิจารณาการขนย้ายต่อ
ในเรื่องการจัดการกับแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นการฝังกลบในหลุมฝังกลบสำหรับของเสียอันตราย (Secure Landfill) หรืออีกช่องทางคือการเผาในเตาเผาเฉพาะทางเท่านั้น การปฏิบัติเหล่านี้มาจากปัญหาเรื่องการขาดเทคโนโลยี ขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบ และการทำรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ยังคงมีต้นทุนที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนเริ่มเข้ามามีบทบาทเรื่องการจัดการและทำรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยบ้างแล้ว
มีการคาดการณ์ว่าจะมีแผงโซลาร์ที่จะทยอยหมดอายุการใช้งานประมาณ 620,000 – 790,000 ตัน ในช่วงปีพ.ศ. 2565 – 2600 และมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.55 ล้านตันในอนาคต
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลจากคณะวิจัยของ TDRI ชี้ว่าแผงโซลาร์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานที่ 25-30 ปี และเมื่อประสิทธิภาพลดลงก็จำเป็นที่ต้องนำออกไป TDRI คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะต้องจัดการขยะโซลาร์เซลล์ปีละ 18,700–28,900 ตันในปี พ.ศ. 2583 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 44,600–66,200 ตันต่อปี ในปีพ.ศ. 2593
นอกจากนี้คาดว่าจะมีปริมาณโลหะหนักที่อยู่ในโซลาร์เซลล์ เช่น ตะกั่ว สะสมอยู่ที่ 3 – 17 ตัน และพลวงอยู่ที่ 6.9 – 40 ตัน ธาตุเหล่านี้จะก่อให้เกิดความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมถ้าไม่มีการจัดการที่เหมาะสม แนวทางการจัดการขยะในปัจจุบันที่มีอยู่ เช่น การฝังกลบ หรือ เผา ล้วนเสี่ยงต่อการรั่วไหลของโลหะหนักไปยังดินและแหล่งน้ำ
ขาดหน่วยงาน – แผนปฏิบัติการระดับท้องถิ่น
ทั้งนี้สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการจัดการขยะแผงโซลาร์ในพื้นที่ชุมชนและครัวเรือน เพราะภาคธุรกิจหรือภาคโรงงานมีผู้ดูแลและกฎระเบียบชัดเจน ในขณะที่การจัดการในภาคครัวเรือนยังไม่มีระบบและหน่วยงานที่รับผิดชอบชัดเจน ตามกฎหมายที่มีอยู่ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ปี 2535 กรมควบคุมมลพิษสามารถเข้ามาดูแลเรื่องซากแผงโซลาร์ในพื้นที่ชุมชนและครัวเรือนได้ เพื่อช่วยเรื่องการจัดกฎเกณฑ์ รวบรวม และส่งต่อเพื่อรีไซเคิล
ภาครัฐต้องมีกฎระเบียบและจัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ข้อมูลและการดำเนินการที่ชัดเจนจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ภาคครัวเรือนในการติดตั้งแผงโซลาร์
ความหวัง: เทคโนโลยีรีไซเคิลระดับสูง
ถึงแม้จะยังไม่มีการปฏิบัติเกิดขึ้น แต่ก็เริ่มมีชุดความรู้การจัดการขยะโซลาร์พอสมควร ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือญี่ปุ่น มีการพัฒนาโรงงานรีไซเคิลแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร
การรีไซเคิลมีหลายวิธีเพื่อเป้าหมายที่ต่างกันไป ยกตัวอย่าง
- กระบวนการแยกชั้นด้วยความร้อน (Thermal Delamination) เป็นการใช้ความร้อนระดับสูงเพื่อแยกชั้นวัสดุ แยกกาวที่ยึดโซลาร์กับกระจก เพื่อนำแร่ซิลิกอนที่เป็นแร่สำคัญในการผลิตแผงโซลาร์กลับมาใช้ใหม่ได้
- การแยกด้วยเลเซอร์ (Laser-Based Recycling) เพื่อตัดและแยกชิ้นส่วนต่างๆ มีความแม่นยำและลดการสูญเสียวัสดุได้
- การละลายด้วยสารเคมี (Chemical Leaching) ที่เป็นกรดหรือด่างอ่อนๆ จะสกัดโลหะมีค่า เช่น เงินและทองแดงได้
- การบดและคัดแยกเชิงกล (Mechanical Shredding & Separation) เป็นการใช้เครื่องบดและเครื่องแยกแม่เหล็ก เพื่อแยดชิ้นส่วนของแผงออกเป็นหมวดหมู่ เช่น กระจก อลูมิเนียม และโลหะอื่นๆ วิธีนี้เหมาะกับการรีไซเคิลในปริมาณที่มาก แต่ต้องใช้เทคโนโลยีอื่นร่วมด้วย
- เทคโนโลยีไพโรลิซิส (Pyrolysis) เป็นอีกวิธีที่สามารถนำแร่ซิลิกอนมาใช้ใหม่ได้ จะเป็นการเผาแผงโซลาร์ด้วยอุณหภูมิสูงในสภาพแวดล้อมที่ไร้ออกซิเจนเพื่อแยกสาร และวิธีนี้ยังช่วยลดการเกิดของเสียอันตรายได้อีกด้วย
การผลิตโซลาร์กระจุกตัว – จำกัดความสามารถอุตสาหกรรมไทย
ทั้งนี้มีความเป็นห่วงในเรื่องของการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เพราะการผลิตยังคงกระจุกตัวอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน เพราะเป็นแหล่งของแร่ซิลิกอนที่ใช้ในการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ สถานการณ์นี้ทำให้ประเทศไทยยังคงต้องเพิ่งพาการนำเข้า และบทบาทของอุตสาหกรรมไทยจึงอยู่แค่การประกอบแผง นอกจากนี้อุตสาหกรรมโซลาร์มักเป็นการลงทุนจากต่างชาติเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและส่งออก อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีความแข็งแรงในเรื่องของธุรกิจการออกแบบทางวิศวกรรมและการก่อสร้างสำหรับโครงการโซลาร์เซลล์
หากมองในเชิงเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ภาครัฐต้องหาวิธียกระดับอุตสาหกรรมทั้งในเชิงเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อให้ประเทศไทยขยับจากการเป็นเพียงผู้ประกอบและมีบทบาทมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมไทย และต้องคำนึงถึงปลายทางของขยะโซลาร์ที่หากมีการจัดการที่ดี ก็อาจกลายเป็นมูลค่าได้
ที่มา: การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 18
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


