กระทรวงพลังงาน เดินหน้านโยบาย Quick Win ด้านพลังงาน ที่จะผลักดันให้สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาลภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วนภายใต้ระยะเวลา 4 เดือน
ก่อนหน้านี้ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็มีการประกาศไว้จำนวนหลายรายการเมื่อต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงาน 7 เรื่อง และมีมติเห็นชอบทั้งหมด ดังนี้
โซลาร์ฟาร์มชุมชน 2.25 บาทต่อหน่วย
โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน (Community-based Solar Power Generation Project) เป็นโครงการไฟฟ้าชุมชน มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ครอบคลุม 1.2 ล้านครัวเรือน โดยรูปแบบโครงการ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะเป็นผู้ลงทุนหลักในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ มูลค่า 30,000 ล้านบาท การกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่
ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายที่จะตัวกลางจ่ายไฟฟ้าให้กับชุมชน ด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนผ่านโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Non-Firm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย
ทั้งนี้ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะต้องจับคู่กับชุมชนที่อยู่ในขอบเขตการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการยื่นขอสมัครเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการคัดเลือกจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติและเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถพัฒนาและดำเนินการได้ตามแผนจนตลอดอายุสัญญา รวมถึงความพร้อมของสายส่งในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
สำหรับสิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ และจะระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างชัดเจน
กพช. ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมกันกำหนดพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับดำเนินโครงการ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. จากนั้นจะประกาศเงื่อนไขโครงการได้ภายในเดือน ธ.ค. โดยโครงการนี้คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับชุมชนได้ราว 40-80 สตางค์ต่อหน่วย
หั่นราคาซื้อไฟฟ้าแสงอาทิตย์
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดย กพช.มีมติยกเลิกอัตราการรับซื้อไฟฟ้าเดิมที่เคยเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 ส.ค. เนื่องจากอัตรา 2.1941 บาทต่อหน่วย เป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT (Feed-in Tariff) ตามมาตรฐานของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จึงเห็นชอบให้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรารับซื้อที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย รวมถึงขอความร่วมมือภาคเอกชนทุกแห่งพิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมประมาณ 1 สตางต์ต่อหน่วย เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในภาพรวม
ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามตามมติ กพช. เมื่อ 25 ธ.ค. 67 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละโครงการ โดยการขยายวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ จะต้องไม่เกินปี 73
เลื่อนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ รับปรับแผน PDP
กพช.เห็นชอบปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561–2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (ร่างแผน PDP2024) อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งจะต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างแผน PDP ชุดใหม่
ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ใช้แผน PDP2018 เป็นกรอบดำเนินงานหลักไปก่อน แต่ให้เลื่อนวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์และแผนการสร้างโรงผลิตไฟฟ้าแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 68–73 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเน้นรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนที่ต้องจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท
สำหรับโรงไฟฟ้าที่จะได้รับผลกระทบจากมตินี้ ประกอบด้วย
- โรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรงไฟฟ้าพระนครใต้ รวมถึงทบทวนการสร้างโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีแห่งใหม่
- โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วแต่ยังไม่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ (สร้างทดแทนเครื่องที่ 8-9) และโรงไฟฟ้านำพอง
- โรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุผู้พัฒนา
- โรงไฟฟ้า IPP ของผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ ที่มีสัญญาแล้วแต่ยังไม่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์
- การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ
ที่ประชุม กพช.ได้เห็นชอบ การทบทวนและปรับปรุงคณะกรรมการภายใต้ กพช. เพื่อให้การบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศมีความคล่องตัว บูรณาการ และสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน โดยเห็นชอบให้ ยกเลิกคณะกรรมการภายใต้ กพช. รวม 3 คณะ ได้แก่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม (คำสั่ง กพช. ที่ 1/2568) คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (คำสั่ง กพช. ที่ 2/2568) คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (คำสั่ง กพช. ที่ 3/2568)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชุดใหม่ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ชุดใหม่ โดยให้แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. และมอบหมายให้ กบง. พิจารณาองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ เพื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศให้มีความเหมาะสมต่อไป
เคาะเงินกองทุนอนุรักษ์สร้าง “โซลาร์สูบน้ำ”
กพช. มีมติเห็นชอบ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 69 – 71 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายรวม 15,000 ล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวิจัยนวัตกรรม การสาธิตนำร่องการพัฒนาบุคลากร และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 69 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 70-71 ปีละ 3,000 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งเป็นโครงการ “โซลาร์สูบน้ำ” เพื่อให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามนโยบาย Quick Big Win จัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร และโรงพยาบาลรัฐ ลดค่าสาธารณูปโภค โดยจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือภาคประชาชนไว้ 7,500 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้หน่วยงานรัฐ และประชาชนในพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 300 แห่ง ทั่วประเทศ
- โซลาร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชน (ระดับทุติยภูมิ) จำนวน 500 แห่ง ทั่วประเทศ
- โซลาร์สูบน้ำขนาดใหญ่ ขนาด 50-80 กิโลวัตต์ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง 450 แห่ง ทั่วประเทศ
- สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ขนาด 3-5 กิโลวัตต์ สำหรับระบบน้ำประปาหมู่บ้าน จำนวนกว่า 2,000 แห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าสาธารณูปโภค
- สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ และประชาชนผ่านธนาคารต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้พลังงาน รวมถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์
โดย กพช. มอบอำนาจให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปรับปรุงรายละเอียดแนวทางและการจัดสรรงบประมาณได้ตามความจำเป็นและสถานการณ์ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนมีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเกิดประสิทธิผลสูงสุดในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจหน้าที่ในการร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการด้านพลังงานต่อไป เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น โดยคาดว่าจะประกาศเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการได้ภายในเดือน พ.ย. นี้
ปรับปรุงสายส่งรับ Data Center
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูล (Data Center) ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (TIPE) ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่ง ครม. ได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลรวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมการพัฒนาและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอ ครม. อนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป
เคาะค่าสายส่งไฟฟ้าสิงคโปร์
กพช. เห็นชอบ หลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) สำหรับ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ระยะที่ 2 (LTMS-PIP Phase 2) โดยเห็นชอบ อัตราค่าธรรมเนียมระบบสายส่ง (Wheeling Charge) ของไทย เท่ากับ 3.5879 US Cent ต่อหน่วย ซึ่งสามารถปรับเพิ่มอัตรา Wheeling Charge ได้ แต่ต้องไม่ก่อนวันที่ 22 มิ.ย. 69 โดยไม่ต้องนำมาเสนอ กพช. อีกครั้ง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
มอบหมายให้ กฟผ. นำเสนอสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ตรวจพิจารณาร่าง EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 และ มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด แล้ว
โครงการ LTMS เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องที่สำคัญภายใต้ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานในภูมิภาค และรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอนาคต
LTMS-PIP ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการเชิงธุรกิจในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์ ที่ปริมาณไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมามีการส่งผ่านไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์แล้วทั้งสิ้นจำนวน 266.33 ล้านหน่วย โดยสิ้นสุดโครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 1 แล้วเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 67
บทความที่เกี่ยวข้อง:




