แนวคิดการให้อำนาจกับ “ชุมชนและท้องถิ่น” เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการพื้นที่ของตัวเองมีมานาน แต่เป็นไปอย่างล่าช้า หลายเรื่องได้ดำเนินการไปแล้วจากนโยบายกระจายอำนาจ แต่ยังมีอีกมากที่ชุมชนและท้องถิ่นยังไม่มีบทบาทมากนัก โดยเฉพาะการบริหารจัดการรับมือกับภัยพิบัติ
แต่จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่มีมากขึ้น ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง ไฟป่า และ ปัญหาฝุ่นควัน (PM2.) ทำให้หน่วยงานภาครัฐไม่มีกำลังเพียงพอในการจัดการและฟื้นฟู โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันและการเฝ้าระวัง ซึ่งจำเป็นต้องให้คนในชุมชนและท้องถิ่น เข้ามาช่วยดูแล เพราะเกินกำลังคนจากภาครัฐ แต่ที่ผ่านมา มักจะถกเถียงวนเวียนกันอยู่ในประเด็นว่าจะให้ชุมชนไหนเข้ามาช่วยดูแลและหากเข้ามามีบทบาทแล้ว จะทำได้แค่ไหน
บทความที่เกี่ยวข้อง: น้ำท่วมหาดใหญ่: บทเรียนเชิงนโยบายจากโครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทย
ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 2 ธ.ค. 68 มีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
หลังจากนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ความรุนแรงของปัญหา
จากการติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันพบว่าภัยพิบัติได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก โดยในปี พ.ศ. 2565 มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้น จำนวน 399 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 86,473 ราย ส่งผลกระทบต่อผู้คน 93.1 ล้านราย และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้รับความสูญเสียจากภัยพิบัติธรรมชาติและมีความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท
หน่วยงานไหนเกี่ยวข้องและต้องทำอะไร?
ในการประชุม คสช. ครั้งที่1/2568 เมื่อ 24 ก.พ.68 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ซึ่งมุ่งเน้นการกระจายอำนาจในการจัดการภัยพิบัติให้กับชุมชนและท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคท้องถิ่น ภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและท้องถิ่นในการจัดการตนเองเพื่อการจัดการภัยพิบัติ
นอกจากนี้ สนับสนุนให้เกิดกองทุนท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ มีการบูรณาการข้อมูล จัดทำและบูรณาการแผนการดำเนินงาน ที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่กิจกรรม ทั้งระยะการป้องกันเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติการเผชิญเหตุและตอบโต้ขณะเกิดภัย และการฟื้นฟู
ข้อเสนอมีดังนี้
1.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทบทวนแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หรือให้มีกฎกระทรวง ประกาศกระทรวงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลไกและบทบาทในการเตรียมการป้องกัน และการจัดการสาธารณภัยของชุมชนและท้องถิ่น และเพิ่มประเด็นการกัดเซาะชายฝั่งให้เป็นภัยพิบัติ
2. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สภาองค์กรชุมชน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่สนับสนุนให้เกิดแผนแม่บทการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งผลักดันให้เกิดกลไก แผนปฏิบัติการ และงบประมาณตามแผนแม่บทที่กำหนดขึ้น
3. แต่งตั้งคณะทำงานที่มีผู้แทนจากชุมชนและท้องถิ่นให้มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนแผนแม่บท และบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยในระดับจังหวัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง หรือระดับอำเภอให้นายอำเภอลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน
4. รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนากองทุนการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง และจัดตั้งกลไกการประสานเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและช่วยเหลือจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และฟื้นฟูภายหลังประสบภัยพิบัติ โดยอาจจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่หรือเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนที่มีอยู่แล้วในชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนภัยพิบัติที่ชุมชนท้องถิ่น ริเริ่มดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
- การจัดตั้งกองทุนในระดับชาติ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. เป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว
- การจัดตั้งกองทุนระดับพื้นที่ โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เป็นเจ้าภาพหลัก
- เพิ่มบทบาทของกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นที่เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนการจัดการภัยพิบัติโดยประชุม
เพื่อเตรียมความพร้อม ป้องกัน และช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ
5. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ เครือข่ายนักวิชาการด้านการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นำเครื่องมือการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพมาใช้ในการติดตามประเมินแผนการจัดการภัยพิบัติของชุมชนและท้องถิ่น โดยเน้นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชนและท้องถิ่น
6. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และเครือข่ายสถาบันการศึกษาในพื้นที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนข้อมูลชุดความรู้ นวัตกรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของบุคลากร อาสาสมัครในการจัดการภัยพิบัติ ภาคพลเมืองที่หลากหลาย เพื่อรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชนท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้ง การจัดการองค์ความรู้ ด้านภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ และมีการเผยแพร่องค์ความรู้ที่จำเป็นกับประชาชน
7. อว. โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่หรือหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยอื่นในสังกัด สนับสนุนทุนวิจัย ด้านการจัดการภัยพิบัติ ระดับพื้นที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ การทำงานวิจัยในชุมชน และถ่ายทอดความรู้ของการจัดการทุนวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์และการพัฒนาพื้นที่
8. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาชุดความรู้ หลักสูตรท้องถิ่นเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เช่น หลักสูตรการเตรียมความพร้อมการเผชิญภัย และการฟื้นฟูผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มโลกใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชน สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยให้บูรณาการเนื้อหาบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และหลักสูตรการศึกษาตามอัธยาศัย
9. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เป็นเจ้าภาพหลัก โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลและบูรณาการรวบรวมข้อมูลไว้เพียงหน่วยงานเดียว และให้เป็นข้อมูลแบบเปิด (Open Access) ที่ให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ และให้มีการตั้งสำนักข่าวแห่งชาติ เพื่อบริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์
10. ดศ. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ดำเนินการพัฒนาระบบการบริหารแจ้งเตือนภัยพิบัติให้พร้อมใช้งานและแจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบทันเวลาและสถานการณ์
11. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการฝึกซ้อมร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญให้กับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ
12. รัฐบาลมีการจัดตั้งกลไกการดำเนินงานระดับชาติ เพื่อประสานความร่วมมือทั้งระบบ เช่น ระบบฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร ระบบอาสาสมัครโดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายฯ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สช. เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเห็นชอบให้ข้อเสนอดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
- ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ เมื่อชุมชนสามารถจัดการภัยพิบัติได้ด้วยตนเอง รัฐบาลสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือลงได้ และการลงทุนในการสนับสนุนชุมชนให้มีความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
- เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติ โดยชุมชนมีความรู้และความเข้าใจในพื้นที่ของตนเองเป็นอย่างดี ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่จำเป็นในการจัดการ ภัยพิบัติได้เพิ่มขึ้น
- การลดความเสี่ยงและการสูญเสีย การที่ประชาชนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจ ในพื้นที่ของตนเอง ทำให้สามารถวางแผนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง ต่อการเกิดภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น และช่วยลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- เช็กมาตรการรัฐบาลช่วยเหลือ เร่งเยียวยา-ฟื้นฟูน้ำท่วมใต้
- “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ระบบสุขภาพหาดใหญ่ หลังมหาอุทกภัย 68
- มหาอุทกภัยหาดใหญ่ “ความล้มเหลว” จัดการภัยพิบัติ




