KrungThai Compass วิเคราะห์กลุ่มธุรกิจโรงเรียนเอกชนในยุคที่เด็กเกิดน้อยลง และประเทศไทยเข้าสู่ Aging Population โรงเรียนบางประเภทมีการเติบโตที่ดี ในขณะที่บางประเภทต้องรีบปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่

ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นว่าภาพรวมโรงเรียนเอกชนในไทยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท จากผู้ประกอบการ 252 ราย โรงเรียนเอกชนในไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม
- โรงเรียนเอกชนทั่วไป จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งใช้ภาษาไทยเป็นหลักในการเรียนการสอน บางโรงเรียนอาจจะมีหลักสูตรสองภาษาหรือ Bilingual เพิ่มเข้ามา มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 4,400 ล้านบาท จากผู้ประกอบการ 34 บริษัท
- โรงเรียนานาชาติ เป็นกลุ่มที่มีผู้ประกอบการน้อยแต่มีมูลค่าตลาดที่สูง การคำนวณมูลค่าของตลาดล่าสุดอยู่ที่ 13,500 ล้านบาท โรงเรียนกลุ่มนี้สอนด้วยหลักสูตรจากต่างประเทศ หลักๆ จะเป็น Cambridge ของอังกฤษ หรือหลักสูตร American Curriculum ของอเมริกา
- โรงเรียนเอกชนเฉพาะทาง เป็นกลุ่มที่มีผู้ประกอบการในตลาดมากที่สุดที่ 177 บริษัท ตีมูลค่าได้เป็น 13,000 ล้านบาท จะเน้นการสอนเฉพาะทางเช่น โรงเรียนอาชีวะ สอนพิเศษ หรือการสอนบิน
กลุ่มโรงเรียนเอกชนที่โดดเด่น
กลุ่มโรงเรียนที่มีความโดดเด่นคือโรงเรียนนานาชาติที่เติบโตได้ดีและมีกำไรที่ชัดเจน KrungThai Compass พิจารณาการเติบโตจากสองปัจจัย การเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) และ การทำกำไร (Net Profit Margin)
ในรอบปี 2565 – 2567 ภาพรวมของธุรกิจโรงเรียนเอกชนของไทยมีค่าเฉลี่ยของการเติบโตของรายได้ที่ 7.9% และค่าเฉลี่ยของการทำกำไรที่ 6.1% ในขณะที่โรงเรียนนานาชาติมีการเติบโตของรายได้ที่ปีละ 13% และสามารถทำกำไรเฉลี่ยได้ 10.2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจโรงเรียนเอกชน และสูงกว่า Segment โรงเรียนอื่นๆ

ทำไมโรงเรียนนานาชาติถึงโดดเด่น?
เมื่อเจาะลึกไปที่โรงเรียนนานาชาติ จะเห็นได้ถึง 3 เหตุผลที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติมีความน่าสนใจและมีความโดดเด่นมากกว่าโรงเรียนอื่นๆ
Low Price Sensitivity – ฐานผู้เรียนหรือกลุ่มผู้ซื้อ (ในที่นี้คือผู้ปกครอง) ไม่ค่อยมีความอ่อนไหวต่อสภาวะเศรษฐกิจและระดับราคา โดยปกติแล้วโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่จะโฟกัสกลุ่มลูกค้าทั้งครอบครัวไทยและครอบครัวต่างชาติที่มีรายได้ระดับกลาง-สูง ที่มีความมั่นคงทางฐานะและสามารถจ่ายค่าเทอมระดับ Premium ได้
Premium Positioning – ความแตกต่างของภาพลักษณ์และคุณภาพของโรงเรียนนานาชาติที่แตกต่างออกไป เพราะมีการใช้หลักสูตรที่เป็นมาตรฐานระดับสากล เช่น International Baccalaureate (IB), Cambridge หรือ American Curriculum ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและความน่าเชื่อถือ
Operational Efficiency – การบริหารจัดการรายได้และต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์บุคลากรร่วมกันแบบ Multi-Campus และการสร้างรายได้จากการบริการเสริม เช่น จัดกิจกรรมหลังเลิกเรียนและในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นต้น
ประชากรสูงวัยกระทบธุรกิจโรงเรียนเอกชน?
KrungThai Compass มองว่าภาวะ Aging population หรือสูงวัย จะเป็น “อุปสรรค” สำหรับธุรกิจโรงเรียนเอกชนโดยเฉพาะ 2-3 ปีหลังจากนี้ ที่คาดการณ์ว่าประชากรวันเรียนระหว่างช่วงอายุ 3-17 ปี ของไทย จะมีจำนวนลดลงปีละ 2.2% จาก 11.3 ล้านคน ในปี 2567 เหลือ 10.6-11.1ล้านคน ในปี 2568-2570
มีแนวโน้มว่าความต้องการ (Demand) ของโรงเรียนเอกชนในอนาคตจะเจอแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากนำนวนผู้เรียนที่ลดลงตามโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนไป United Nation เองเคยคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว
มองประเทศญี่ปุ่นเป็นกรณีศึกษา
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ที่เจอกับภาวะสูงวัยและการปรับตัวเปลี่ยนโมเดลธุรกิจโรงเรียนเอกชน เช่น “สร้างเครือข่ายกับโรงเรียนต่างชาติ” และ “ขยายสาขา”
ยกตัวอย่าง โรงเรียน Harrow International School Appi Japan ที่เข้าเป็นเครือข่ายของ Harrow School (UK) เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะครอบครัวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ทำให้จำนวนของ Expats เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
หรือโรงเรียน Hokkaido International School ที่เริ่มแรกมีแค่สาขาหลักตั้งอยู่ในเมือง Sapporo แต่ในปี 2555 ทางโรงเรียนขยายสาขาย่อยที่เมือง Niseko เพื่อลดการพึ่งพานักเรียนในเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว
พื้นที่ไหนเหมาะสม ขยายโรงเรียนเอกชน?
KrungThai Compass ประเมินโอกาสในการขยายโรงเรียนเอกชนด้วยสองตัวชี้วัด ตัวชี้วัดแรกคือ รายได้เฉลี่ยของประชากร (หรือกำลังซื้อในแต่ละภูมิภาค) ตัวชี้วัดที่สองคือ สัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อโรงเรียน (เป็นการวัด Potential Demand จากความหนาแน่นของจำนวนนักเรียนในแต่ละภูมิภาค) จากการศึกษาพบว่าภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่ EEC มีความโดดเด่นมากที่สุด
ภาคตะวันออก – มีข้อโดดเด่นทั้งในมิติของรายได้ และ Potential Demand ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่เกือบ 5 แสนบาท/ปี (ซึ่งสูงสุดในประเทศ) และมีความหนาแน่นของจำนวนนักเรียน 294 คนต่อโรงเรียน สูงเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ข้อมูลสะท้อนว่าตลาดยังมีช่องว่างในการเติบโต นอกจากนี้ ยังได้แรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งส่งผลบวกต่อจำนวน Expats ฉะนั้นแล้วพื้นที่ภาคตะวันออกจึงเหมาะสมต่อการพัฒนาและขยายโรงเรียนเอกชนในระดับกลาง-สูง
กรุงเทพฯ และปริมณฑล – เป็นพื้นที่ที่ตลาด Premium มีการแข่งขันสูง จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างให้แก่โรงเรียน ประชากรในพื้นที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 4.9 แสนบาท/ปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศเกือบสองเท่า และมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยต่อโรงเรียนสูงสุดในประเทศที่ 602 คนต่อโรงเรียน แต่ด้วยจำนวนผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก ทำให้พื้นที่นี้มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีโรงเรียนรวมทั้งสิ้น 926 แห่ง และในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนเอกชน มากถึง 654 แห่ง ซึ่งนับเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนโรงเรียนเอกชนมากที่สุดในประเทศ
เพราะฉะนั้นการจะขยายธุรกิจโรงเรียนเอกชนในพื้นที่นี้ควรจะมีการใช้กลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่าง ทั้งในด้านคุณภาพการศึกษา ยกระดับหลักสูตรการเรียนการสอนตามความสนใจ และภาพลักษณ์ของโรงเรียน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดระดับ Premium ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก
ภาคใต้ – KrungThai Compass มองว่าพื้นที่ภาคใต้มีโอกาสเติบโต “เฉพาะพื้นที่” แม้ภาพรวมของรายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนบาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก และมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยต่อโรงเรียนอยู่ที่ 237 คนต่อโรงเรียน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศซึ่งอยู่ที่ราว 200 คนต่อโรงเรียนเล็กน้อย
แต่ทว่า มีข้อสังเกตว่าบางจังหวัดกลับมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนถึง 3.1 แสนบาทต่อปี และมีความหนาแน่นของจำนวนนักเรียนถึง 520 คนต่อโรงเรียน ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภูเก็ตยังเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติพักอาศัยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของทั้งชาวไทยรายได้สูงและครอบครัวชาวต่างชาติได้
โรงเรียนเอกชนชะลอตัวใน 2-3 ปี
Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าตลาดโรงเรียนเอกชนจะมีมูลค่า 3.2-3.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2568-70 หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 3.2% ชะลอตัวลงจากในอดีต ตามแรงกดดันจาก Aging Population
แต่ก็เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถเพิ่มรายได้ต่อจำนวนนักเรียนเพื่อชดเชยจำนวนนักเรียนที่ลดลงได้ แม้ว่าธุรกิจโรงเรียนเอกชนจะถูกกดดันจากแนวโน้มจำนวนนักเรียนที่คาดว่าจะลดลงจากราว 2.05 ล้านคนในปี 2567 มาอยู่ในระดับ 1.94-2.00 ล้านคน ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ตามปัญหาโครงสร้างประชากรของไทยที่จะทำให้ประชากรในวัยเรียน (อายุ 3-17 ปี) มีจำนวนลดลงจาก 11.3 ล้านคน เหลือ 10.6-11.1 ล้านคน ก็ตาม
เพิ่มบริการ เพื่อเพิ่มรายได้
ทั้งนี้คำแนะนำของ KrungThai Compass คือต้องเพิ่มมูลค่าหรือ Value-added ให้กับการบริการ เพื่อที่โรงเรียนเอกชนจะได้ชดเชยกับจำนวนนักเรียนที่ลดลง ตัวอย่างการเพิ่มมูลค่าคือ
- เพิ่มหลักสูตรพิเศษ เช่น Bilingual หรือ International Program ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมมือกับโรงเรียนต่างประเทศเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงครอบครัวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การเพิ่มหลักสูตรจะช่วยให้สามารถตั้งอัตราค่าเทอมที่สูงขึ้นได้
- ขยายรายได้จากการมีบริการเสริมที่เกี่ยวข้องกับตัวนักเรียน หรือ Ancillary Revenue ยกตัวอย่างเช่น การทำ After School หรือ Weekend Program ไม่ว่าจะเป็นการสอนดอนตรี สอนกีฬา การทำ Coding และการบริการอื่นๆ เช่น โรงอาหาร รถรับ-ส่ง ชุดนักเรียน และการไปทริปทัศนศึกษากับโรงเรียน เป็นต้น
ที่มา: KrungThai Compass
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




