การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 2 ธ.ค. 68 มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กำหนดหลักเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานตามกรอบที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ
อุตสาหกรรมภาพยนตร์และสาระบันเทิงรูปแบบอื่น (Content) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างสูงภายใต้นโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่าง ๆ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้รับการยกระดับเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เรือธง (Flagship) ประกอบกับศักยภาพในการผลิตภาพยนตร์ของผู้ประกอบการไทยทำให้ตลาดภาพยนตร์ไทยกลับมาเป็นกระแสนิยม
ในปี 2567 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศนำหน้าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดของสหรัฐอเมริกา โดยภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 54% ของส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ศักยภาพในการแข่งขันของภาพยนตร์ไทยกับภาพยนตร์ต่างชาติ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจหลายระดับ
ในปี 2566 อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการจ้างงานรวมกว่า 45,035 ตำแหน่ง และสร้างรายได้รวมกว่า 77,635 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ
ดังนั้น การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจึงเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อสร้างแต้มต่อและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยให้สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานระดับสากล รวมทั้งการส่งออกภาพยนตร์ไทยจะเป็นการสร้างผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหารจึงจำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ
ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศโดยสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดทำข้อเสนอแนะ กลไก กระบวนการ และแนวทางการพิจารณาสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ไทยแล้ว และคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้มีมติในการประชุม เมื่อ 25 ก.ค. 68 มอบหมายให้ กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการเงินคืนตามแนวทางที่สำนักงาน ป.ย.ป. นำเสนอต่อไป
สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้จัดทำมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ และได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้ว จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติพิจารณาโดยในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อ 17 พ.ย. 568 โดยมี ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบในหลักการร่างมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศและมอบหมายให้
กระทรวงวัฒนธรรมเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
วัตถุประสงค์
- เพื่อส่งเสริมการผลิต ยกระดับมาตรฐาน คุณภาพ และความหลากหลายของภาพยนตร์ไทย
- เพื่อส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย
- เพื่อส่งเสริมการส่งออกทุนทางวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิงอย่างภาพยนตร์ไทย
คำนิยาม
- ภาพยนตร์ หมายความว่า ผลงานภาพเคลื่อนไหว ที่มีเสียงและการเล่าเรื่องราวความยาวประมาณ ไม่น้อยกว่า 90 นาที จัดทำเพื่อการเผยแพร่ในโรงภาพยนตร์หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในฐานะผลงานเดี่ยวหนึ่งเรื่อง
- แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หมายความว่า การให้บริการเผยแพร่หรือส่งผ่านเนื้อหาประเภทต่าง ๆ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงได้โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โดยอาจเป็นข้อความ ภาพ เสียงภาพเคลื่อนไหวและอาจให้บริการในลักษณะการรับชม การรับฟัง หรือการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์หรือแบบตามความต้องการของผู้ใช้บริการ
- ละครและซีรีส์ หมายความว่า ผลงานภาพเคลื่อนไหว ที่มีเสียงและการเล่าเรื่องราว จัดทำเป็นตอนต่อเนื่อง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมีจำนวนตอน ไม่น้อยกว่า 8 ตอน แต่ละตอนมีความยาวไม่น้อยกว่า 45 นาที
- มิวสิกวิดีโอ หมายความว่า สิ่งบันทึกภาพ วีดิทัศน์ โสตทัศนวัสดุ รวมถึงงานศิลปกรรม ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อเพลง ภาพเคลื่อนไหว และ/หรือภาพนิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพลงการแสดงดนตรี การขับร้องเพลง เพื่อการนำเสนอผลงานเพลงของศิลปิน โดยมีความยาวไม่น้อยกว่า 3 นาทีต่อเพลงและมีจำนวนเพลงไม่น้อยกว่า 3 เพลง ต่ออัลบั้ม
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ
ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์
– นิติบุคคลหรือผู้ถือหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยและกรรมการหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคลไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย
– นิติบุคคลเปิดกิจการมาไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีหลักฐานการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลภาษีมูลค่าเพิ่ม และงบการเงินที่รับรองโดยผู้สอบบัญชีอนุญาต
– นิติบุคคลผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ซึ่งมีสัญชาติไทยหรือเป็นผู้ได้รับสิทธิใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จากเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย
– เป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการด้านภาพยนตร์ หรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ระบุไว้ในหนังสือรับรองการจดทะเบียนของบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
– นิติบุคคลมีสำนักงานหลักหรือสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยเป็นสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ประสานงานที่สามารถติดต่อได้
– นิติบุคคลเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อเรื่องตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ
– สิทธิประโยชน์หลัก : ได้รับเงินสนับสนุน 15% ของค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่อง ที่มีวงเงินตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป
– สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม :
- กรณีภาพยนตร์มีการนำเสนอเรื่องราวหรือเนื้อหาที่สร้างสรรค์ในประเด็นตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศกำหนดสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 5%
- กรณีภาพยนตร์มีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่องตั้งแต่ 40 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 50 ล้านบาท สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 2.5% หรือมีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่องตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 5%
- กรณีภาพยนตร์ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศหรือฉายในช่องโทรทัศน์ต่างประเทศไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ หรือฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง 1 แพลตฟอร์ม โดยแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต้องมีการฉายในต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ โดยอย่างน้อยหนึ่งประเทศ ต้องอยู่นอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 5%
เงื่อนไขของมาตรการ
- มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศเป็นมาตรการที่กำหนดภายใต้รัฐบาลไทย โดยคณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศตรวจเอกสารและหลักฐานการเงินแล้ว ว่าถูกต้องตามระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนดโดยมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทย ตั้งแต่ 15 ล้านบาท ขึ้นไปต่อเรื่อง
- โครงการสร้างภาพยนตร์ที่เสนอขอรับการสนับสนุนต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือมีข้อพิพาทกับผู้อื่น
- ค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาคำนวณเงินสนับสนุนได้ ได้แก่ค่าใช้จ่ายก่อนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าใช้จ่ายหลังการผลิต โดยไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ และการทำการตลาด
- ค่าใช้จ่ายนอกประเทศไทย ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าของขวัญ ค่ากิจกรรมสันทนาการหรือเงินรางวัลไม่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการคำนวณเงินสนับสนุนได้
- กรณีภาพยนตร์ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการอื่นใดของภาครัฐไทยไม่สามารถขอรับการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศได้
- ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำหนด
- ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ได้ ประกอบด้วย ภาพยนตร์ไทย ละครและซีรีส์ไทย และมิวสิกวิดีโอไทย
- ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นอันยกเลิก
- กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนไม่สามารถถ่ายทำภาพยนตร์หรือยื่นเอกสารหลักฐานตามระยะเวลาที่กำหนด
- กรณีการถ่ายทำภาพยนตร์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนมีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายไทย บิดเบือน หรือลดทอนภาพลักษณ์ของประเทศไทยหรือสถาบันหลักของชาติ
วิธีการดำเนินการ
– ขั้นตอนการดำเนินการยื่นความประสงค์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุน
- ผู้มีสิทธิยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของทุกปี และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนของทุกปี
- คณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศพิจารณาอนุมัติเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนภายใน 60 วัน นับแต่วันยื่นคำขอและมีคุณสมบัติครบถ้วน
- ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนต้องดำเนินการผลิตภาพยนตร์ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับแต่ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุน
– ขั้นตอนการดำเนินการขอรับเงินสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ
- เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการผลิตภาพยนตร์เสร็จสิ้นจะต้องยื่นเอกสารหลักฐานในการขอเงินสนับสนุนต่อคณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผลิตภาพยนตร์เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ได้ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำหนด
- ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบเอกสารหลักฐานภายใน 90 วันนับถัดจากวันที่ได้รับเอกสาร
- คณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศพิจารณาเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งหมดเพื่ออนุมัติการคืนเงินตามมาตรการฯ ภายใน 60 วันนับจากวันที่ได้รับเอกสาร
- ดำเนินการคืนเงินให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุน
- ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนที่ประสงค์ขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมต้องยื่นหลักฐานภายใน 3 ปี นับแต่วันได้รับอนุมัติเงินสนับสนุน
ประมาณการรายจ่าย
รายจ่ายและแหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการขอรับการจัดสรรต่อปี ประมาณปีละ 1,500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณพ.ศ. 2569 จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินประมาณ 400 ล้านบาท
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป จะขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ จัดทำขึ้นเพื่อช่วยรักษาระดับการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และคอนเทนต์ไทย และคงปริมาณการผลิตภาพยนตร์และการจ้างงานในอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้เกิดการผลิตผ่านการให้เงินสนับสนุนจะทำให้ภาพยนตร์ไทยได้รับการยกระดับการผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้น มีจำนวนภาพยนตร์ไทย ที่มีทุนสร้างสูงในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ภาพยนตร์ไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินมาตรการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 4,600 ล้านบาท ต่อปี
การดำเนินมาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องมีการเตรียมการด้านต่าง ๆ เช่น การจัดทำประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการฯ การเตรียมการเปิดรับลงทะเบียนการประชาสัมพันธ์ รายละเอียดมาตรการผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมจะออกประกาศหลักเกณฑ์ฯ ภายในปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนการผลิตในปีถัดไปของภาคอุตสาหกรรม
ที่มา: มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




