กระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ ดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้จักรยานยนต์ หนี้บัตรเครดิต และหนี้ธุรกิจ SMEs ผ่าน 2 มาตรการ
- จ่ายตรง คงทรัพย์ ปรับโครงสร้างหนี้แบบเน้นตัดเงินต้น ลดภาระดอกเบี้ย
- จ่าย-ปิด-จบ ลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ที่มียอดหนี้ไม่สูง พร้อมทั้งส่งเสริมวินัยทางการเงิน ไม่ให้เกิดปัญหาการเสียวินัยในการชำระหนี้ในภายหลัง
จุดประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อลดภาระทางการเงินเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ ให้สามารถประคองตัว รักษาสภาพคล่องและสินทรัพย์สำคัญ ผ่านแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระต่องวด
เช็กเงื่อนไข”คุณสู้ เราช่วย” มหกรรมแก้หนี้รายย่อย เริ่มลงทะเบียน 12 ธ.ค.
มาตรการอุ้มลูกหนี้รายย่อย สร้างภาระมากกว่าตัวเงิน
โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.67 เวลา 8.30 น. ไปจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 68 เวลา 23.59 น. ผ่านทางเว็บไซต์ของ ธปท. ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo
ทั้งนี้ ธปท. ได้ไขข้อสงสัยให้กับลูกหนี้ที่อยากจะเข้าร่วมมาตรการ ซึ่งอาจจะมีประเด็นคำถาม ดังนี้
มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ : การปรับโครงสร้างหนี้แบบเน้นตัดเงินต้น ลดภาระดอกเบี้ย
สถาบันการเงินใดเข้าร่วมมาตรการนี้บ้าง ?
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (ธสน.)
ทั้งนี้สามารถตรวจสอบรายชื่อสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร ?
1. ลูกหนี้จ่ายค่างวดน้อยลงเป็นระยะเวลา 3 ปี โดย ปีที่ 1 ชำระ 50% ของค่างวดเดิม ปีที่ 2 ชำระ 70% ของค่างวดเดิม ปีที่ 3 ชำระ 90% ของค่างวดเดิม
2. ค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ครบ 3 ปี สถาบันการเงินจะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ให้ หลังสิ้นสุดโครงการ
3. ลูกหนี้สามารถตกลงกับเจ้าหนี้ในการชำระค่างวดมากกว่าที่กำหนดได้ เพื่อให้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
ลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมมาตรการนี้ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีเงื่อนไขดังนี้
1. เป็นรายลูกหนี้กับสถาบันการเงินที่ร่วมมาตรการ ดังต่อไปนี้
2. เป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567
3. มีสถานะบัญชี ณ วันที่ 31 ต.ค. 2567 เป็น
- หนี้ค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน
- หนี้ปกติ ที่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 เป็นต้นมา
คำนวณวงเงินรวมของสินเชื่อแต่ละประเภท ตามเงื่อนไขอย่างไร ?
คำนวณจากวงเงินของสินเชื่อแต่ละประเภทที่ลูกหนี้มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ณ วันที่ 31 ต.ค.2567 ตัวอย่างดังนี้
- ลูกหนี้มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งเดียวกัน 3 บัญชี ได้แก่ สินเชื่อบ้าน 2 บัญชี (วงเงิน 5 ล้านบาท และ 3 ล้านบาท) และสินเชื่อเช่าซื้อรถวงเงิน 6 แสนบาท หนี้บ้านจะเข้ามาตรการไม่ได้ เนื่องจากมีวงเงินรวมเกิน 5 ล้านบาท แต่หนี้เช่าซื้อรถเข้าร่วมมาตรการได้
- ลูกหนี้มีสินเชื่อกับ 2 สถาบันการเงิน ได้แก่ สถาบันการเงิน 1: สินเชื่อบ้าน วงเงิน 2 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อรถวงเงิน 6 แสนบาท หนี้ทั้ง 2 ประเภทเข้าร่วมมาตรการได้ สถาบันการเงิน 2: สินเชื่อบ้าน วงเงิน 3 ล้านบาท เข้ามาตรการได้
วงเงินรวมของสินเชื่อบ้าน/เช่าซื้อรถยนต์ นับรวมสินเชื่อ top up ที่มีหลักประกันเดียวกันหรือไม่ ?
ให้นับรวมวงเงินสินเชื่อ top up ด้วย แต่ไม่รวมวงเงินประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้าน หรือ MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance) เพื่อมิให้ลูกหนี้ถูกตัดสิทธิ์เพียงเพราะมีการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง
ทั้งนี้ เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้ว ให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้โดยรวม MRTA ด้วย เนื่องจากอยู่บนหลักประกันเดียวกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรการที่ต้องการช่วยลูกหนี้ให้รักษาทรัพย์ไว้ได้ ตัวอย่างดังนี้
- ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อบ้าน 4.5 ล้านบาท + วงเงิน top up อีก 0.5 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อ MRTA อีก 20,000 บาท สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมที่ไม่รวม MRTA ไม่เกิน 5 ล้านบาท (4.5+0.5 = 5 ล้านบาท) ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือตามมาตรการ ให้นำ MRTA มารวมในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วย จึงทำให้ยอดหนี้ในการปรับโครงสร้าง คือ 5.02 ล้านบาท
- ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อบ้าน 5 ล้านบาท หลังจากที่ผ่อนชำระเหลือหนี้คงค้าง 3 ล้านบาท ได้รับวงเงิน top up เพิ่มเติมก่อนวันที่ 31 ต.ค. 67 อีก 2.5 ล้านบาท บนหลักประกันเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ลูกหนี้รายนี้ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมของลูกหนี้อยู่ที่ 5.5 ล้านบาท (3+2.5 = 5.5 ล้านบาท)
ลูกหนี้มีสินเชื่อบ้าน/รถมากกว่า 1 สัญญา เช่น สินเชื่อบ้าน 1 ล้านบาท จัดชั้นปกติไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้ และสินเชื่อ home for cash 1 ล้านบาท จัดชั้น SM (ค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน) ลูกหนี้จะขอเข้ามาตรการนี้ได้ทั้ง 2 สัญญาหรือไม่ ?
เข้ามาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา เพราะมาตรการนี้ต้องการให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถ ไว้ได้ จึงให้ความช่วยเหลือเป็นรายลูกหนี้ หากมีสินเชื่อบางบัญชีที่เข้าข่ายตามมาตรการนี้ ลูกหนี้สามารถนำสินเชื่อบัญชีอื่นในประเภทเดียวกันเข้ามาตรการนี้ได้
ลูกหนี้มีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ยังไม่ได้รวมหนี้กับสินเชื่อบ้าน (debt consolidation) จะขอรวมหนี้ และเข้ามาตรการนี้ได้หรือไม่ ?
ได้ หากเป็นหนี้บ้าน/หนี้รถยนต์/หนี้รถจักรยานยนต์ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ลูกหนี้สามารถนำหนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อส่วนบุคคล มารวมได้ และเมื่อนำหนี้ไปรวมแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วย ตัวอย่างดังนี้
- สินเชื่อบ้าน วงเงิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระเหลือยอดคงค้าง 7 ล้านบาท มีสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล (CCPL) 0.2 ล้านบาท สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้ เพราะวงเงินรวมไม่เกิน 5 ล้านบาท (4.7 + 0.2 = 4.9 ล้านบาท)
- สินเชื่อบ้าน วงเงิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระเหลือยอดคงค้าง 7 ล้านบาท มีสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล (CCPL) 0.5 ล้านบาท ไม่สามารถเข้ามาตรการนี้ได้ เพราะวงเงินรวมเกิน 5 ล้านบาท (4.7 + 0.5 = 5.2 ล้านบาท)
ลูกหนี้เคยปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว หรืออยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ จะสามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้หรือไม่ ?
ได้ หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการทางศาลสามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้หรือไม่ ?
ได้ โดยสถาบันการเงินจะชะลอการฟ้องออกไปก่อน (แต่ไม่ได้ถอนฟ้อง) ในกรณีที่ลูกหนี้โดนยึดทรัพย์แล้ว แต่ทรัพย์ยังไม่ได้ถูกขายทอดตลาด/การขายทอดตลาดยังไม่สำเร็จ ลูกหนี้ที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติของมาตรการสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ แต่เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้วและไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการได้ สถาบันการเงินจะเดินเรื่องในกระบวนการทางศาลต่อไป
ลูกหนี้มีสินเชื่อที่เป็นสัญญาแบบกู้เดี่ยวและกู้ร่วม สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้
ได้ทั้ง 2 สัญญาหรือไม่ ?
หากสินเชื่อทั้งแบบกู้เดี่ยวและกู้ร่วมของลูกหนี้มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา ตัวอย่างดังนี้
กรณีนาย ก. มีสินเชื่อบ้านวงเงิน 5 ล้านบาทกับธนาคาร A ซึ่งมีวันค้างชำระ 270 วัน (กู้เดี่ยว) และนาย ก. กู้ร่วมกับ นาง ข. มีสินเชื่อบ้านวงเงิน 3 ล้านบาท (กู้ร่วม) ซึ่งมีวันค้างชำระ 90 วัน ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา โดยสถาบันการเงินจะพิจารณาวงเงินกู้ร่วมและวงเงินกู้เดี่ยวแยกกัน
ลูกหนี้มีสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และ/หรือไมโครไฟแนนซ์ สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้หรือไม่ ?
ได้ เพราะสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์/ไมโครไฟแนนซ์นับเป็นสินเชื่อ SMEs รายย่อย จึงสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ
ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้กับเจ้าหนี้ได้มากกว่า 1 แห่งหรือไม่ ?
ได้ หากลูกหนี้มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งที่เป็นไปตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอะไรบ้าง ?
ลูกหนี้ต้องลงทะเบียน (opt-in) ผ่านระบบกลางของ ธปท. ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2567 (เริ่ม 08.30 น.) – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (สิ้นสุด 23.59 น.)
ทั้งนี้ลูกหนี้จะไม่สามารถขอสินเชื่อใหม่ในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นลูกหนี้ SMEs ที่หากจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเป็นสภาพคล่องเพิ่มเติม เจ้าหนี้สามารถปล่อยกู้ใหม่ได้ โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม
โดยเจ้าหนี้จะรายงานสถานะลูกหนี้ไปยังเครดิตบูโร (NCB) ได้แก่
- รหัสที่ระบุว่าลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการ ซึ่งมีระยะเวลา 3 ปี
- รหัสที่ระบุว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการอยู่ในระยะเวลาห้ามก่อหนี้เพิ่มเป็นเวลา 12 เดือน
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการสามารถจ่ายค่างวดต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรการได้หรือไม่ ?
ไม่ได้ ลูกหนี้ต้องผ่อนชำระค่างวดขั้นต่ำตามที่มาตรการกำหนดในลักษณะทยอยปรับขึ้นในแต่ละปี (ปีแรก 50% / ปีที่สอง 70% / ปีที่สาม 90%) เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะสามารถกลับมาชำระที่ 100% ของค่างวดเดิมได้ในปีที่ 4 หลังจบมาตรการ
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการสามารถจ่ายค่างวดสูงกว่าที่กำหนดในมาตรการเพื่อให้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้นได้หรือไม่ ? (เช่น ปีแรกชำระ 60% / ปีที่สอง 70% / ปีที่สาม 90%)
ได้ โดยลูกหนี้สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เพื่อขอจ่ายค่างวดสูงกว่าที่กำหนดได้
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการสามารถชำระหนี้ปิดบัญชีก่อนครบระยะเวลามาตรการ 3 ปีได้หรือไม่ ?
ได้ หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้และเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่ตกลงไว้กับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ในช่วงที่ลูกหนี้เข้ามาตรการให้
ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ หรือ ต้องการออกจากมาตรการก่อนกำหนด จะต้องดำเนินการอย่างไร ?
ลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินได้ ทั้งในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ เช่น 1. ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน หรือ 2. ลูกหนี้ค้างชำระหนี้จนกลายเป็น NPL หรือ 3. ลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อหรือจำนำทะเบียนรถได้คืนรถ/ถูกยึดรถ หรือสถาบันการเงินยื่นฟ้องร้องและศาลรับฟ้องแล้วหรือเมื่อมีหลักฐานชัดเจนว่ารถไม่อยู่แล้ว และลูกหนี้ต้องการออกจากมาตรการก่อนกำหนด ซึ่งทั้ง 2 กรณี สถาบันการเงินจะเรียกเก็บดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในอัตรา 50% ของดอกเบี้ยที่พักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ
ทั้งนี้หากออกจากมาตรการแล้ว ลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่นของสถาบันการเงิน เช่น มาตรการแก้หนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending หรือมาตรการแก้หนี้อื่น ๆ เช่น คลินิกแก้หนี้ by SAM
ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดจะได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้โดยอัตโนมัติหรือไม่ ?
ไม่ใช่ ลูกหนี้ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการตามความสมัครใจ (opt-in) ซึ่งสถาบันการเงินจะติดต่อลูกหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการต่อไป
มาตรการจ่าย-ปิด-จบ : การลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้ NPL ที่มียอดหนี้ไม่สูง
สถาบันการเงินไหนบ้างที่เข้าร่วมมาตรการนี้บ้าง ?
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (ธสน.)
ทั้งนี้ ตรวจสอบรายชื่อสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo
ใครเข้าร่วมมาตรการได้บ้าง ?
ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) ณ วันที่ 31 ต.ค. 67 และมีภาระหนี้คงค้าง (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) ไม่เกิน 5,000 บาทต่อบัญชี
รูปแบบการช่วยเหลือ/เงื่อนไขการเข้ามาตรการเป็นอย่างไร ?
สถาบันการเงินจะปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนให้ลูกหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ปิดจบบัญชีได้ ซึ่งสถานะลูกหนี้ใน NCB จะถูกปรับเป็นรหัส 11 คือ ชำระหนี้หมดตามยอดที่ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้
มาตรการครอบคลุมหนี้บุคคลธรรมดาทุกประเภทหรือไม่ ?
หนี้บุคคลธรรมดาทุกประเภท ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ
หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขและลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ จะได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินทุกคนหรือไม่ ?
หากลูกหนี้มีคุณสมบัติครบถ้วน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการ จะได้รับความช่วยเหลือทุกราย
คำถามประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับมาตรการแก้หนี้
ธปท. จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่เข้าคุณสมบัติตามมาตรการครั้งนี้อย่างไร ?
1. กรณีลูกหนี้รายย่อย และ SMEs ทุกประเภท สามารถขอรับความช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) คือ จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนฟ้อง โอนขายหนี้ ยึดทรัพย์
2. กรณีลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน เช่น บัตรกดเงินสด ที่ยังไม่เป็น NPL แต่ชำระดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมเป็นระยะเวลานาน (5 ปี) สามารถขอเข้ามาตรการปิดจบหนี้เรื้อรังได้ โดยสถาบันการเงินจะแปลงสินเชื่อจากวงเงินหมุนเวียน (revolving loan) เป็นสินเชื่อผ่อนชำระเป็นงวด (installment loan) ลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี และปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี (ธปท. ขยายระยะเวลาปิดจบหนี้จาก 5 ปีเป็น 7 ปี เริ่ม 1 มกราคม 68) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาตรการแก้หนี้ยั่งยืน
3. กรณีลูกหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลไม่มีหลักประกัน ที่เป็น NPL ค้างชำระมากกว่า 120 วัน ยอดหนี้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สามารถขอเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ โดยลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ในการรวมหนี้เสียจากทุกเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการไว้ที่เดียว ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี สำหรับดอกเบี้ยและค่าปรับค้างชำระเดิมก่อนเข้าโครงการ เจ้าหนี้จะยกให้เมื่อลูกหนี้ชำระได้ครบถ้วนตามสัญญา
ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกแก้หนี้ – DEBT หนี้บัตร หนี้บุคคล จบที่เดียว
ลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้จากช่องทางใดบ้าง ?
ลูกหนี้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการผ่านระบบกลางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo
ลูกหนี้มีระยะเวลาในการลงทะเบียนกี่วัน ?
ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 67 เริ่ม 08.30 น. ถึงวันที่ 28 ก.พ. 68 สิ้นสุด 23.59 น.
ลูกหนี้ต้องกรอกข้อมูลอะไรบ้างในการลงทะเบียนผ่านระบบในเว็บไซต์ของ ธปท.
ข้อมูลที่ใช้และขั้นตอนการกรอกข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ลงทะเบียนของ ธปท. ได้แก่
1. อ่านรายละเอียดมาตรการในหน้าเว็บไซต์ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo เพื่อตรวจสอบสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เงื่อนไขและคุณสมบัติในการเข้าร่วมมาตรการ กดยืนยันคุณสมบัติ และกดลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ
2.เตรียม ThaID เพื่อเข้าระบบและยืนยันตัวตน (ดูวิธีการลงทะเบียน ThaiD ได้ที่ ขั้นตอนการลงทะเบียน ThaID ด้วยตัวเอง)
3. เข้าสู่ระบบ โดยสามารถทำได้ 2 แบบ คือ
- เข้าสู่ระบบผ่าน ThaID – ต้อง Scan ThaID ผ่านแอปพลิเคชัน (App) ทุกครั้งที่เข้ามาใช้ระบบ
- เข้าระบบผ่านอีเมล (e-mail) โดยยืนยันตัวตนผ่าน ThaID ครั้งแรกเท่านั้น
4. กรอกข้อมูลเพิ่มเพื่อลงทะเบียนขอเข้าร่วมมาตรการ ดังนี้
- ข้อมูลส่วนบุคคล/นิติบุคคล ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้นระบบจะดึงมาจาก ThaID และ กรอกข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่ม คือ หมายเลขโทรศัพท์ (เพื่อรับการติดต่อจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้) e-mail address (เพื่อส่ง e-mail เตือนแจ้งสถานะ) และจังหวัด (เพื่อเป็นข้อมูลสถิติ)
- กรอกข้อมูลหนี้ โดยเลือกสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ และเลือกสินเชื่อที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ หากกรณีเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะสอบถามความสนใจที่จะทำเรื่องรวมหนี้หรือไม่ และหากกรณีที่ต้องการลงทะเบียนหลายผลิตภัณฑ์ สามารถกดเพิ่มผลิตภัณฑ์ได้
5. กดยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการ และกดส่ง ระบบจะขึ้นข้อความการลงทะเบียนสำเร็จและแสดงหมายเลขคำร้องเพื่อให้ลูกหนี้ใช้ติดตามสถานะการลงทะเบียน
6. หลังการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว สถาบันการเงินจะได้รับข้อมูลทันทีโดยอัตโนมัติ และ สถาบันการเงินจะเริ่มทยอยติดต่อกลับลูกหนี้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
ลูกหนี้ที่ลงทะเบียนผ่านระบบของ ธปท. ต้องผ่าน ?
การยืนยันตัวตนผ่านทาง ThaID หรือไม่ ลูกหนี้ต้องยืนยันตัวตนผ่าน ThaID ก่อนการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ
ลูกหนี้ที่กู้ร่วมต้องลงทะเบียนอย่างไร ?
ให้ลูกหนี้ที่กู้ร่วมเพียงคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ลงทะเบียน (ไม่ต้องลงทะเบียนทุกคน) โดยเจ้าหนี้จะติดต่อลูกหนี้และผู้กู้ร่วม หากมีคุณสมบัติตามที่กำหนดเพื่อเข้าร่วมมาตรการต่อไป
ลงทะเบียนไม่ถูกต้อง เช่น เบอร์โทรติดต่อกลับ ชื่อเจ้าหนี้ ประเภทสินเชื่อ จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร ?
1. กรณีเบอร์โทรติดต่อผิด สามารถส่งข้อความผ่านระบบเพื่อแจ้งเบอร์โทรติดต่อที่ถูกต้องให้แก่สถาบันการเงินได้
2. กรณีชื่อเจ้าหนี้ผิด สามารถยกเลิกคำร้องที่ผิด และยื่นคำร้องสำหรับเจ้าหนี้ใหม่
3. กรณีเลือกประเภทสินเชื่อผิด เมื่อเจ้าหนี้ติดต่อกลับ สามารถแจ้งกับเจ้าหนี้เพื่อขอเปลี่ยนประเภทสินเชื่อได้โดยตรง
ลูกหนี้จะได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหนี้ภายในกี่วันหลังลงทะเบียนสำเร็จ ?
กรณีลงทะเบียนก่อนวันที่ 2 ม.ค. 2568 เพื่อให้เวลาสถาบันการเงินในการจัดการระบบ สถาบันการเงินจะเริ่มทยอยติดต่อลูกหนี้ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค 2568 เป็นต้นไป และกรณีลงทะเบียนหลังวันที่ 2 ม.ค. 2568 สถาบันการเงินจะติดต่อลูกหนี้กลับภายใน 10 วันทำการหลังลงทะเบียนสำเร็จ
ลูกหนี้สามารถติดตามสถานะการลงทะเบียนได้อย่างไร ?
ลูกหนี้สามารถเรียกดูสถานะการดำเนินการผ่านเว็บไซต์ ธปท. ได้ที่ https://services.bot.or.th/cpm โดยเลือกเมนูตรวจสอบสถานะคำร้อง บริการแก้หนี้ และเลือกหมายเลขคำร้องที่ได้รับหลังลงทะเบียนสำเร็จ
กรณีลูกหนี้ลงทะเบียนผ่านระบบในเว็บไซต์ของ ธปท. และตรวจสอบสถานะแล้วขึ้น resolved โดยที่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหนี้ / ไม่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการ / เจ้าหนี้ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ ลูกหนี้ต้องทำอย่างไร ?
ลูกหนี้สามารถกดปุ่ม reject ในระบบ เพื่อปฏิเสธผลการพิจารณาได้ โดยเรื่องจะถูกส่งกลับให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้พิจารณาใหม่อีกครั้ง (ลูกหนี้สามารถปฏิเสธผลการพิจารณาได้ 2 ครั้ง)
ลูกหนี้จะมีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการเข้าร่วมมาตรการนี้ หรือไม่ ?
ไม่มีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ ดังนั้น อย่าหลงเชื่อหรือโอนเงินหากมีผู้มาติดต่อให้ลูกหนี้ต้องชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด
ลูกหนี้มีคำถามหรือพบปัญหาในการลงทะเบียน สามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง ?
ลูกหนี้สามารถติดต่อได้ที่สาขาหรือ call center ของสถาบันการเงินที่ลงทะเบียน กด 99 และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถติดต่อ 1213 ในวันและเวลาทำการ
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เช็กเงื่อนไข”คุณสู้ เราช่วย” มหกรรมแก้หนี้รายย่อย เริ่มลงทะเบียน 12 ธ.ค.