ข้าวราคาตกต่ำไม่ใช่ปัญหาใหม่ของไทย แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทุกยุครัฐบาล โดยมักมีข่าวชาวนาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือ และปัญหานี้ก็เกิดวนซ้ำมาให้เห็นตลอดทุกปี ซึ่งยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะข้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของไทย ทั้งในด้านการบริโภคและการส่งออกสินค้าเกษตร ล่าสุดปัญหาข้าวราคาตกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผลผลิตข้าวในปี 2567 ออกมาจำนวนมากจนเกิดความต้องการของตลาด เนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ทรงตัว และการส่งออกไปยังต่างประเทศก็ชะลอลง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะกดดันให้ราคาข้าวตกต่ำลงจนส่งผลให้ชาวนาไทยอาจประสบภาวะขาดทุนอีกครั้ง ซึ่งภาครัฐเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แก้เพื่อปล่อยผ่านและปัญหาจะวนมาอย่างที่เคยเป็นในอดีต
ข้าวไทยผลผลิตล้น-ส่งออกยาก
ปี 2568 เป็นปีที่ชาวนาไทยเผชิญแรงกดดันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จากภาวะที่ราคารับซื้อข้าวปรับลดลงจากแรงกดดันของผลผลิตข้าวในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 34 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ราว 2 ล้านตันข้าวเปลือก ในขณะที่การเป็นที่ยอมรับด้านการบริโภคข้าวของคนไทยมีข้อจำกัดในการขยายตัวตามปริมาณการบริโภคต่อวัน ที่อย่างไรก็ตามคนในประเทศก็มักบริโภคอาหารที่ 3 มื้อ
หากมองตามกลไกราคาแล้วผลผลิตที่เพิ่มขึ้นบนความต้องการบริโภคที่ทรงตัวย่อมสร้างแรงกดดันให้ราคามีทิศทางที่ปรับลด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลผลิตข้าวนาปรังที่มีการเก็บเกี่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 มากกว่า 80% เมื่อเจอแรงกดดันของการบริโภคที่ค่อนข้างคงที่และไม่มีผลของฤดูกาล ประกอบกับผลผลิตส่วนเกินไม่สามารถระบายออกไปตลาดโลกได้ง่ายจากราคาข้าวไทยที่สูงกว่าประเทศผู้ส่งออก รวมถึงแรงกดดันจากการที่อินเดียเริ่มกลับมาส่งออกข้าว
ราคาข้าวของไทยสูงส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือนล่าสุด (พ.ย. 2567 – ม.ค. 2568) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 0.59 ล้านตัน สร้างแรงกดให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% รับซื้อ ณ ที่นา ณ สิ้นเดือนม.ค. ปรับลดลงเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 กว่าตันละ 1,400 บาท หรือลดลงกว่า 13%
สถานการณ์รุนแรงขึ้นในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังเริ่มเข้ามาสร้างแรงกดดันจากภาวะที่ผลผลิตล้นกว่าความต้องการเพิ่มเติม ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% ปรับลดลงจนเหลือที่ราคาราว 8,000 – 8,800 บาทต่อตัน หรือปรับลดลงจากราคา ณ สิ้นไตรมาส 3 กว่า 17.0% – 24.5% (ลดลง 1,800 – 2,600 บาท ต่อตัน)
ภาวะการณ์ที่ราคาข้าวปรับลดลงจากราว 1.8 – 2.6 บาทต่อกิโลกรัม แม้อาจดูไม่มากแต่หากมองย้อนไปยังสถานการณ์ที่บีบรัดของชาวนาที่ทาง ttb analytics ได้ประเมินต้นทุนการเพาะปลูกในปี 2567 พบว่า ต้นทุนข้าวเปลือกตกอยู่ที่ราว 7,800 – 8,900 บาทต่อตัน (ในกรณีที่เกษตรกรมีต้นทุนค่าเช่านาและเครื่องจักรกลทางการเกษตร) ซึ่งบนสถานการณ์ราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% ที่ 8,000 – 8,800 บาทต่อตัน และคาดว่าสถานการณ์ในเดือน มี.ค. อาจรุนแรงมากกว่านี้ จากผลผลิตข้าวนาปรังที่จะเข้ามาเติมแรงกดดันราคาข้าว ส่งผลให้ชาวนาไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญภาวะขาดทุนที่สูง

ที่มา : USDA, Thai Rice Millers Association, OAE และ ttb analytics
ดังนั้นด้วยสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐควรเตรียมออกนโยบายเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย โดยในวันที่ 26 ก.พ. 2568 คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีการพิจารณามาตรการช่วยเหลือด้านราคาข้าวนาปรังปีการผลิต 2568 จากมติของ คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด 3 มาตรการ ประกอบด้วย
- โครงการชะลอและเก็บข้าว เพื่อช่วยลดปริมาณข้าวที่ออกสู่ตลาดในช่วงเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาข้าวเปลือกทรงตัวได้ดีขึ้น
- โครงการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่เก็บสต๊อก โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือดอกเบี้ยในอัตรา 6% แก่ผู้ประกอบการที่เก็บสต๊อกข้าวในช่วง 2-6 เดือน
- โครงการเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก โดยรัฐจะสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 500 บาทต่อตัน เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม
ข้อเสนอเชิงนโยบาย มาตรการแก้ระยะยาว
ttb analytics มองมาตรการดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดเป็นเพียงการชะลอราคาไม่ให้ลดลงราคาข้าวอย่างรวดเร็วจากภาวะผลผลิตที่เกินความต้องการ โดยปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงจะต้องเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีผลผลิตข้าวสูง ซึ่งจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทางภาครัฐควรหามาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาตั้งแต่ภาครัฐไปถึงชาวนา
1. ภาครัฐควรจัดตั้งกองทุนเพื่อลดต้นทุนการเพาะปลูก เช่น เพื่อลดค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าพันธุ์ข้าว รวมถึงจัดหาสินค้าราคาต้นทุนให้เกษตรกรเช่าใช้ในราคาที่ต่ำลง เช่น เครื่องจักรกลทางการเกษตร หรือสินค้าราคาต้นทุนที่ใช้ในการแปรรูปสินค้า เช่น โรงสีชุมชน ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรแปรรูปสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบให้กลายเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่สามารถตอบสนองความต้องการการบริโภคของภาคครัวเรือนได้โดยตรง หรืออาจเข้าเป็นตัวกลางในการรับซื้อเพื่อลดอำนาจผูกขาดผู้ประกอบการที่อาจกดราคาช่วงผลผลิตเยอะเนื่องจากชาวนาไม่มีที่เก็บผลผลิต และนำข้าวมาแปรรูปเพื่อให้ประชาชนในราคาที่ไม่ได้บวกจากต้นทุนมากนักซึ่งสามารถช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
2. ภาครัฐควรให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่เกษตรกรเพิ่มเติม เพื่อให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเพาะปลูกมากขึ้น เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกให้มากขึ้นผ่านระบบที่มีความแม่นยำสูง (Precision Agriculture) จะทำให้สามารถช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย ลดปริมาณการใช้ยาปราบศัตรูพืชได้ เนื่องจากตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ที่ชี้ว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ยของไทยต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย เวียดนาม และจีน ถึง 13%, 48% และ 52% ตามลำดับ รวมถึงการทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ย 7% ลดการใช้น้ำได้ 4% และลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้ 9% รวมถึงประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการเพาะปลูก
3. ภาครัฐควรบูรณการกับภาคเอกชน เพื่อช่วยพัฒนาสินค้าแปรรูปจากข้าว เนื่องจากปัจจุบันข้าวไทยส่วนใหญ่ใช้บริโภคในมื้ออาหารหลัก ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคในประเทศแต่ละปีไม่สามารถเพิ่มได้มากนัก และย่อมเกิดปัญหาในทุก ๆ ครั้ง เมื่อผลผลิตข้าวที่ได้เยอะกว่าที่ต้องการ ดังนั้น การเน้นด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร (Research and Development) จึงเป็นการต่อยอดให้เกิดการบริโภคเพิ่มเติมลดข้อจำกัดที่ข้าวจะถูกใช้บริโภคเพียงในมื้ออาหารได้
4. ชาวนาควรเร่งพัฒนาตนเองและเปิดรับเทคโนโลยีการเพาะปลูกใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ และต้องพัฒนาตนเป็นผู้ประกอบการที่เชื่อว่าการทำการเกษตร คือ การทำธุรกิจที่อาจประสบภาวะขาดทุน จึงอาจไม่ใช่เรื่องที่ภาครัฐต้องมีงบประมาณช่วยเหลือทุกครั้งที่มีปัญหา ซึ่งหากชาวนาตระหนักถึงความเป็นผู้ประกอบการ การวางแผนการเพาะปลูกอาจช่วยลดภาวะการขาดทุน เช่น การหันไปจับตลาดเฉพาะกลุ่มในบางโอกาสที่คาดการณ์ว่าอุปทานส่วนเกิน เช่น การหันมาเพาะปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ตอบโจทย์กระแสคนรักสุขภาพในปัจจุบัน และมีราคาขายข้าวเปลือกสูงกว่าข้าวทั่วไปที่ประมาณ 20-50% ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
สำหรับปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำของชาวนาไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เผชิญในทุกยุคสมัย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การแก้ไขแต่ละครั้งเป็นเหมือนยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการเจ็บได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ในสถานการณ์ปี 2568 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สถานการณ์หลายด้านสุมแรงกดดันกับชาวนาอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่หวังว่าวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จริงใจและร่วมรับผิดชอบ เพื่อให้ปัญหาที่เกิดกับชาวนาลดหายไปได้ในระยะยาว
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง