ThaiPBS Logo

สารบัญประกอบ

    “เปิบข้าว” บทเพลงชีวิตชาวนากับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ : นโยบายรัฐบาล คือ เงื่อนไขแห่งความอยู่รอด

    7 ม.ค. 256812:42 น.
    “เปิบข้าว” บทเพลงชีวิตชาวนากับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ : นโยบายรัฐบาล คือ เงื่อนไขแห่งความอยู่รอด

    สารบัญประกอบ

       

      เปิบข้าวทุกคราวคำ

      จงสูจำเป็นอาจิณ

      เหงื่อกูที่สูกิน

      จึงก่อเกิดมาเป็นคน

       

      ข้าวนี้นะมีรส

      ให้ชนชิมทุกชั้นชน

      เบื้องหลังสิทุกข์ทน

      และขมขื่นจนเขียวคาว

       

      บทเพลง “เปิบข้าว”  ที่สะท้อนภาพความยากลำบากของชาวนาผู้ผลิตข้าวเลี้ยงดูผู้คนนั้น ยังคงก้องกังวานในห้วงความรู้สึกของผู้คนมาทุกยุคทุกสมัย แต่ในบริบทของความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บทเพลงนี้ยิ่งมีความหมายและสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เพราะตอกย้ำถึงความสำคัญของชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็นผู้สร้างอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนคนไทย

      ในยุคที่สภาพภูมิอากาศผันผวนรุนแรง ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ความแห้งแล้งและน้ำท่วมเกิดขึ้นถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น ชีวิตชาวนาจึงยิ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศทำให้การเพาะปลูกยากลำบาก ผลผลิตตกต่ำ หรือเสียหายไปทั้งหมด แรงกายและหยาดเหงื่อที่ลงแรงไปจึงสูญเปล่า

      ข้าวทุกเม็ดที่เรากินล้วนมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ทรมานของชาวนา เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป ความทุกข์นั้นยิ่งทวีคูณ ความผันผวนของฝนฟ้าอากาศส่งผลกระทบต่อคุณภาพและปริมาณของผลผลิต ทำให้ชาวนาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทั้งความเสียหายของพืชผล และความผันผวนของราคาผลผลิต

      ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความผิดปกติของสภาพภูมิอากาศที่น่ากังวล โดยในปี 2567 โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่แทบไม่มีฝนตก ทำให้ปริมาณน้ำฝนสะสมต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดรายปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 32-33 องศาเซลเซียส จากทศวรรษก่อน เป็น 33-34 องศาเซลเซียส

       

      นอกจากนี้ยังพบแนวโน้มอากาศร้อนจัดมากขึ้น โดยมีหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน บันทึกอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียสในช่วงเดือนเมษายน ร้อนจัดจนมีคนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเพราะคลื่นความร้อน

       

      นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ลานีญา (เด็กหญิง คือ wet phase ทำให้ฝนตกชุก) และเอลนีโญ (เด็กชาย คือ hot phase ทำให้เกิดภัยแล้ง) ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ El Niño-Southern Oscillation (ENSO) ภายหลังจากที่ประเทศไทยเผชิญกับสภาวะภัยแล้งรุนแรงจากปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงต้นปี 2567 สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี ปรากฏการณ์ลานีญาได้กลับมาส่งผลให้ฝนตกชุกและหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยมีแรงหนุนจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูฝน ส่งผลให้หลายจังหวัดทั่วประเทศต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมถึงภาคกลางที่อยู่ใกล้ร่องมรสุม ล้วนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรุนแรงในปีนี้ ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนและซ้ำเติมความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความรุนแรงของสภาพอากาศที่มากขึ้น อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความถี่ของสภาพอากาศรุนแรง (extreme weather events)

       

      ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (extreme weather events) เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติต่างๆ ที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจอย่างมาก รวมถึงความอยู่รอดและความทุกข์ทนขมขื่นของชาวนา

       

      จากแรงมาเป็นรวง

      ระยะทางนั้นเหยียดยาว

      จากรวงเป็นเม็ดพราว

      ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ

       

      เหงื่อหยดสักกี่หยาด

      ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น

      ปูดโปนกี่เส้นเอ็น

      จึงแปรรวงมาเป็นกิน

       

      ในทุกขั้นตอนของการผลิตข้าว ตั้งแต่การไถหว่าน ปลูก ดูแล จนถึงการเก็บเกี่ยว ล้วนต้องใช้แรงกายและหยาดเหงื่อแรงใจอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังเพิ่มความท้าทายให้ชาวนาต้องปรับตัวและรับมือกับความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งที่ทำให้ดินแตกระแหง หรือน้ำท่วมที่ทำให้พืชผลเสียหาย

      ชาวนาต้องใช้ความอดทนและความมานะพยายามอย่างมากในการฟันฝ่าอุปสรรคทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แสดงถึงความเสียสละและความทุ่มเทของชาวนาอย่างแท้จริง โดยทุกหยาดเหงื่อที่หลั่งริน คือพลังงานที่ขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนทั้งประเทศและส่งออกข้าวไปทั่วโลก แต่ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ชาวนาจึงต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน

      ภาวะโลกร้อนและความแปรปรวนของสภาพอากาศส่งผลโดยตรงต่อการเกษตร ฝนที่เคยตกตามฤดูกาลอาจกลายเป็นฝนที่ไม่ตกเลยในบางพื้นที่ หรือกลายเป็นน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำลายผลผลิตทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังทำให้ชาวนาต้องปรับตัวกับวิธีการเพาะปลูกใหม่ๆ ซึ่งอาจต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบอย่างชัดเจนในพื้นที่ปลูกข้าว การขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งและการท่วมขังในฤดูฝนส่งผลให้การปลูกข้าวไม่สามารถคาดการณ์ได้เหมือนในอดีต นอกจากนี้ การเกิดโรคพืชและแมลงศัตรูพืชที่เพิ่มขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนยิ่งเพิ่มภาระให้กับชาวนา

       

      ประเทศไทยมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิได้สร้างความเสียหายต่อมูลค่าผลผลิตการเกษตรของครัวเรือนไทยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่ไม่เข้าถึงระบบชลประทาน หรือครัวเรือนที่มีพื้นที่ประกอบการเกษตรขนาดใหญ่ แล้วความเสียหายนี้จะรุนแรงต่อเนื่องเพิ่มขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ IPCC AR6 ฉากทัศน์ใดก็ตาม (Prommawin et al. 2024)

       

      รูปที่ 1: ประมาณการมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเฉลี่ยของครัวเรือนเกษตรกรในอนาคต ภายใต้ฉากทัศน์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ IPCC AR6 (2021)

      ผลผลิตการเกษตร

      ที่มาภาพ: https://www.pier.or.th/abridged/2022/14/  [บทความนิพนธ์ต้นฉบับ: Prommawin B, Svavasu N, Tanpraphan S, Saengavut V, Jithitikulchai T, Attavanich W and McCarl BA, 2024. Impacts of climate change and agricultural diversification on agricultural production value of Thai farm households. Climatic Change, 177(7), p.112]

       

       

      นโยบายการปรับตัวและความอยู่รอดสำหรับชาวนากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

       

      น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง

      และน้ำแรงอันหลั่งริน

      สายเลือดกูทั้งสิ้น

      ที่สูซดกำซาบฟัน

       

      การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสนับสนุนให้ชาวนาปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การเข้าถึงแหล่งน้ำและระบบชลประทาน การประกันภัยพืชผล และการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ชาวนาสามารถปรับตัวและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งด่วนที่จะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และฟื้นนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร

      ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนโยบายระยะกลางและระยะยาว เพื่อส่งเสริมโอกาสในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส สร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ เสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทย

       

      รูปที่ 2: นโยบายรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

      นโยบายภาคเกษตร

      ที่มา: https://www.opsmoac.go.th/sakaeo-dwl-files-462891791035 (สืบค้น 30 ธ.ค. 67)

       

      ในช่วงไตรมาสแรกของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี The Active โดย Thai PBS (เผยแพร่ 13 ธ.ค. 67) ได้ติดตาม10 นโยบายเร่งด่วน แล้วสรุปในส่วนของนโยบายที่ 6 คือ “ยกระดับการทำเกษตรเป็นเกษตรทันสมัย” ซึ่งมีความพยายามในหลายโครงการ เช่น โครงการ SML กระจายอำนาจสู่ชุมชน เพื่อให้รัฐลงทุนต่อเนื่อง โดยเปรียบเทียบกับผลประกอบการด้านธุรกิจและอาชีพในหมู่บ่าน, สานต่อ 9 นโยบายเกษตร ตามแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”, และ ผลักดัน “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารไทยรายใหญ่ของโลกและให้คนทั่วโลกรู้จักอาหารไทย เป็นต้น

       

      นโยบายการเกษตร

      ที่มา: https://theactive.thaipbs.or.th/data/quarter-policy-progress (สืบค้น 30 ธ.ค. 67)

       

      โดยภาพรวมเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐ ผู้เขียนก็ยังคงมีความหวังที่จะเห็นเกษตรกรไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชาวนาจำเป็นต้องมีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูก เช่น การใช้พันธุ์ข้าวที่ทนแล้งและทนน้ำ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดความสูญเสีย และการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ชาวนายังต้องเรียนรู้วิธีและสามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร เพื่อช่วยลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

       

      แม้ชาวนาจะเป็นฐานรากของระบบอาหาร แต่พวกเขากลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ดังนั้น รัฐบาล องค์กรเอกชน และสังคมในภาพรวมจึงต้องเข้ามาสนับสนุนชาวนาอย่างจริงจัง โดยการสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่

      1. การให้ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อช่วยชาวนาในการปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยสามารถนำเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศและเทคโนโลยีการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจการเกษตรมาใช้วางแผนการเพาะปลูก สามารถรับมือกับสภาพอากาศแปรปรวน
      2. การสร้างระบบประกันภัยการเกษตร เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ (ดูเพิ่มเติม https://www.pier.or.th/abridged/2016/05/)
      3. การสนับสนุนทางการเงินและไม่ใช่การเงิน เช่น การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือการจัดหาทุนสำหรับการปรับปรุงวิธีการเพาะปลูก สนับสนุนการปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และ พัฒนาระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
      4. การส่งเสริมตลาดที่เป็นธรรม เพื่อให้ชาวนาได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยรวมมีการส่งเสริมความเข้มแข็งของกลุ่มชุมชนและสหกรณ์

       

      หลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญสำหรับนโยบาย คือ ควรต้องมีการประเมินผลกระทบของนโยบาย (Impact Evaluation) โดยใช้ระเบียบวิธีทางเศรษฐศาสตร์และเศรษฐมิติ  เพื่อวัดในเชิงปริมาณและมูลค่าว่า นโยบายหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรนั้น บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ และมีผลกระทบต่อเกษตรกรและระบบการเกษตรอย่างไร จะช่วยให้เราเข้าใจถึงประสิทธิผลของนโยบายรัฐบาลและสามารถนำข้อมูลไปปรับปรุงนโยบายให้ดียิ่งขึ้น เป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่โครงการประชาสัมพันธ์ที่หน่วยงานไม่สามารถตอบได้ว่า มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กี่ครัวเรือน จึงแน่นอนว่า ไม่มีกำหนดตัวชี้วัดเป็นจำนวนครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณ ทั้งที่แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปีของหน่วยงานมีประมาณการวงเงินงบประมาณรวม 2 หมื่นล้านบาท หรือ โครงการประชาสัมพันธ์แบบบูรณาการหลายหน่วยงานที่มีจำนวนเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์แค่หลักหมื่นราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนครัวเรือนเกษตรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน

       

      บทสรุป

      เบื้องหลังทุกเมล็ดข้าวที่หล่อเลี้ยงผู้คน ยังคงมีเรื่องราวของความเหนื่อยยาก ความอดทน และการต่อสู้ของชาวนาไทย ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ในยุคโลกเดือด โดยการทำนาในอนาคตจำเป็นต้องเสริมด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้วิถีชีวิตชาวนาและการผลิตข้าวไทยยังคงอยู่ได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก

      ในบริบทของความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นภัยคุกคาม ชาวนาไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตข้าว แต่เป็นผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ การตระหนักถึงความยากลำบากและความเสียสละของชาวนา และการสนับสนุนให้พวกเขาปรับตัวเพื่อความอยู่รอด จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม เพราะถ้าไม่มีชาวนา ก็ไม่มีข้าว และ ถ้าไม่มีข้าว ก็ไม่มีชีวิต

      เราจึงควรร่วมกันแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคเกษตรกรอย่างจริงจัง และสนับสนุนชาวนาให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้บทเพลงของชาวนาสามารถเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงความภาคภูมิใจและความหวังของชาวนา มิใช่คุณภาพชีวิตมนุษย์เฉกเช่น บทเพลง “เปิบข้าว” แห่งความทุกข์และความสิ้นหวัง

      นโยบายที่เกี่ยวข้อง

      การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

      การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ ปัญหาที่ไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามหาทางรับมือแก้ไข โดยรัฐบาลประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในปี 2567 ได้เข้าร่วมประชุม COP29 เพื่อแสดงบทบาทความร่วมมือกับประชาคมโลก

      • 1
      • 2
      • 3
      • 4
      • 5

      มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร

      นโยบายพักหนี้เกษตรกร เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระที่มี ต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 ก.ย. 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งมีเกษตรกรที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว จำนวนกว่า 2.69 ล้านราย

      • 1
      • 2
      • 3
      • 4
      • 5

      ผู้เขียน: